มติชน,
วันที่ 05 กันยายน พ.ศ. 2546 ปีที่ 26 ฉบับที่ 9310, หน้า 7
|
"20 พฤษภาฯ วันสิ้น(วัน)ชาติ"
โดย เกษียร เตชะพีระ
เป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนคนเดือนตุลาฯไป เมื่ออดิศร เพียงเกษ นำเสนอชื่อ "วัน 14 ตุลา ประชาธิปไตย" ที่ทั้งรัฐบาล, ส.ว., ส.ส., และเอ็นจีโอพอจะขยากกลืนก้างของ "ท่านผู้นำ" ที่ตำลูกกระเดือกกลั้วน้ำลายตามลงคอไปได้ทั่วหน้า..
นับว่าร้ายมากกกส์ คิดได้ยังงายยยยแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น....
คำ "ประชาธิปไตย" ในชื่อเดิมตามมติรัฐสภาก็คงไว้, แถมพก "14 ตุลา" มาให้อีกต่างหาก...มีทั้งลักษณะสากล("ประชาธิปไตย") กับลักษณะเฉพาะ ("14 ตุลา" วันนี้วันเดียวเท่านั้น) สอดประสานกันได้ตามหลักปรัชญา "ว่าด้วยการปฏิบัติ" ของท่านประธานเหมาฯอย่างลงตัว.....เรียกว่าประธานเหมาฯก็เหมาฯเถอะ ต้องซูฮกเรียกซือเฮียทีเดียวล่ะ
มิหนำซ้ำเวอร์ชั่นใหม่ยังมีสัมผัสสระ "-า" ในชื่ออีกต่างหากระหว่าง "ตุลา" กับ "ประชา" ช่วยให้เรียกได้คล่องปากลื่นคอดี สามารถเอาไปให้พี่อดิศรแต่งกลอน และพี่วิสา คัญทัพ แต่งเพลงใส่ทำนองให้พี่เบิร์ดร้องง่าย แบบว่า "แฟนจ๋าตุลาแล้วจ้ะ สิบสี่แล้วน่ะ เขยิบมาใกล้ๆ" ก็ยังได้...
เข้าตามสูตรวรรคแรกของเพลงนกสีเหลืองที่ว่า "กางปีกหลีกบินจากเมือง เจ้านกสีเหลืองจากไป..." เด๊ะ...
ไม่เชื่อลองถามดูสิว่าทำไมนก 14 ตุลา ต้องสีเหลืองด้วย?
ทำไมไม่แดง, ขาวหรือเขียว?
แหะๆ, สันนิษฐานว่าก็เพื่อให้รับสัมผัสกับ "เมือง" ที่ส่งมาจากวรรคสดับไง ตามหลักเอกลักษณ์ไทยที่ต่อให้ยกเหตุผลล้นไส้ล้นพุงมาเถียงกันเป็นคุ้งเป็นแควในสภาฯ ครม. และตามหน้าหนังสือพิมพ์จนเหงือกแห้งขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ตัดสินกันด้วย "สัมผัส" ตามประสาชาติเจ้าบทเจ้ากลอนนี่แหละ...
rhyming determinism หรือลัทธิสัมผัสประกาศิตของพี่ไทยจึงเด็ดขาดร้ายกาจกว่า economic determinism หรือลัทธิเศรษฐกิจประกาศิตของชาวมาร์กซิสต์เป็นไหนๆ เชื่อผมเหอะอาจารย์ใจ ณ กลุ่มประชาธิปไตยแรงงาน...ง่า..พูดจาบจ้วงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดือนตุลาแบบนี้ไม่ทราบว่าจะระคายเคืองเบื้องบนเบื้องล่างของอดีตสหายเพื่อนพ้องน้องพี่เดือนตุลาท่านใดหรอืไม่? ยังไงก็ต้องขออำไพด้วย
แต่เสียดายอยู่อย่างเดียว...คือในระหว่างเปิดวิวาทะสาธารณะว่าด้วยชื่อที่เหมาะสมสำหรับ 14 ตุลานั้น เกิดเรื่องมงคลที่ประเด็นความหมายความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเลือนหายไป ได้ถูกรื้อฟื้นหยิบยกขึ้นมาจุดประเด็นถกกันใหม่เปรียบเทียบกับ 14 ตุลา ทั้งโดย "ท่านผู้นำ" บรรดาท่านผู้ตามใน ครม., ส.ว., ส.ส., ผู้อาวุโสรุ่นลูกศิษย์ลูกหาที่นิยมนับถือคณะราษฎร, คนรุ่น 14 ตุลา, ผู้บัญชาการทหารบก-ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, แกนนำองค์กรประชาธิปไตย และปัญญาชนสาธารณะหลายท่านอย่างคึกคักร้อนแรง ประกายปัญญาลุกพรึ่บพรั่บ..
น่าเสียดายว่าพอรอมชอมหน่อมแน้มขนานนาม "วัน 14 ตุลา ประชาธิปไตย" เสร็จ สาธารณชนก็จะเลยหวนกลับสู่สภาวะความจำเสื่อมรวมหมู่
พากันลืมความหมายความสำคัญของ 24 มิถุนายนต่อไปเหมือนเคยเสียฉิบ
ขณะประเด็นที่เถียงกันแหลกนั้นรวมศูนย์อยู่ที่จะยกชื่อ "วันประชาธิปไตย" ให้ 14 ตุลา หรือ 24 มิถุนาฯดี? ก็ต้องขอยืนยันตามอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ว่า...เฮ้ยๆ ช้าก่อนๆ 24 มิถุนาฯ น่ะแต่ก่อนแต่กี้เขายกย่องเป็น "วันชาติ" นะเฟ้ย ไม่ใช่ "วันประชาธิปไตย", ยังไม่ต้องพูดถึง "วันผู้สูงอายุแห่งชาติหรือวันไทยรักไทยแห่งชาติ" ที่พี่ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ถูถากเชือดเฉือนให้อดีตสหายในรัฐบาล, ส่วน (อดีต) วันชาติ 24 มิถุนาฯ จะเกี่ยวกับประชาธิปไตยด้วยหรือไม่อย่างไร? อันนี้ต้องคุยกันยาวๆ
แน่นอน จุดเริ่มเรื่องที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นจุดจบ นั่นคือวันหนึ่งวันนั้นที่วัน 24 มิถุนาฯ ถูกสั่งปลดจากการเป็น "วันชาติ" ของเราชาวไทยอย่างเป็นทางการ นั่นคือวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ซึ่งจะเรียกว่า "วันสิ้น(วัน)ชาติ" ก็ได้
ในวันนั้น "ท่านผู้นำ" คนก่อนคือ นายกฯจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ลงนามประกาศฉบับหนึ่งความว่า
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ 24 มิถุนายนนั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
คณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่างๆ ได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่างๆ กัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เอง
คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติในวันที่ 24 มิถุนายนเสีย
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบด้วย จึงได้ลงมติให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2481 เรื่อง วันชาติ นั้นเสีย และให้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยด้วยต่อไปตั้งแต่บัดนี้
ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2503
จอมพล ส. ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรี
(คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 77 ตอนที่ 43 วันที่ 24 พฤษภาคม 2503 หน้า 1452-1453)
ส่งที่น่าสนใจที่สุดในประกาศข้างต้นคือเหตุผลซึ่งคณะกรรมการพิจารณาหยิบยกขึ้นมาอ้างรองรับให้ความชอบธรรมแก่การตัดสินใจยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนาฯ เสีย ซึ่งพอจะสรุปได้ 2 ข้อกล่าวคือ
1) เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยทั่วไป ซึ่งถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, สวีเดน, ญี่ปุ่น เป็นต้น และ
2) เพื่อเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน
เหตุผลข้อแรกของคณะกรรมการตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเนื่องจาก "ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ" ฉะนั้นจึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า -> ให้ "ยกเลิกวันชาติในวันที่ 24 มิถุนายนเสีย" แล้วหันไป "ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย" แทน
ตรรกะวิธีคิดตรงนี้เป็นแบบแบ่งแยกเป็นสองขั้วสองข้าง(binary thinking or dichotomy) ต้องได้อย่างเสียอย่าง(trade-off) อันหนึ่งได้หมด อีกอันต้องเสียหมด(zero-sum game)
สรุปรวมความคือต้องเลือกเฉลิมฉลองวันใดวันหนึ่งเพียงวันเดียวเท่านั้น ระหว่าง วันชาติ หรือวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์
ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติจะมีวันสำคัญทั้งสองวันและเฉลิมฉลองทั้งคู่มิได้, ไม่อนุญาตให้มีวันชาติแยกต่างหากจากวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์
จริงหรือ? ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติจำต้องมีแต่วันเฉลิมฉลองพระราชสมภพโดยไม่มีวันชาติหรือ?
จากการสำรวจข้อมูลขั้นต้น ผมพบว่าปัจจุบัน หลักเหตุผลข้อแรกอาจจะยังเป็นจริงในบรรดาประเทศตัวอย่าง 3 ประเทศ ที่ประกาศของจอมพลสฤษดิ์ยกมาอ้างอิง ได้แก่ อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, ญี่ปุ่น ซึ่งเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของพระประมุขโดยไม่มีวันชาติ, ทว่าไม่เป็นความจริงในกรณีประเทศเดนมาร์กและสวีเดน รวมทั้งประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอีกหลายชาติ โดยเฉพาะในเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียนของเรา ซึ่งมีทั้งวันชาติกับวันพระราชสมภพของพระประมุขและเฉลิมฉลองไปด้วยกันทั้งคู่ โดยขอสรุปข้อมูลเป็นตารางเพื่อสะดวกแก่การเปรียบเทียบ(โปรดดูตาราง)
ประเทศ วันพระราชสมภพของพระประมุข วันชาติแยกต่างหาก
อังกฤษ 21เมษายน วันพระราชสมภพของพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งมีการเฉลิมฉลองตามราชประเพณีแต่ไม่ใช่วันหยุดราชการ ไม่มี
เนเธอร์แลนด์ 30 เมษายน วันพระราชสมภพของพระราชินีจูเลียน่า(รัชกาลที่แล้ว) ไม่มี
ญี่ปุ่น 23 ธันวาคม วันพระราชสมภพของพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ไม่มี
เดนมาร์ก 17 เมษายน วันพระราชสมภพของพระราชินีมาเกร็ตที่ 2 5 มิถุนายน เป็นวันที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2392 ได้รับการรับรองครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ.2496
สวีเดน 30 เมษายน วันพระราชสมภพของกษัตริย์คาร์ลที่ 16 กุสตาฟ 6 มิถุนายน เริ่มใช้แต่ปี พ.ศ.2526 ในฐานะวันก่อตั้งรัฐสวีเดนอิสระ(พ.ศ.2066) และวันรัฐธรรมนูญ(พ.ศ.2352) ซึ่งตรงกันพอดี
มาเลเซีย 6 มิถุนายน กำหนดเป็นวันเฉลิมฉลองพระราชสมภพของยังดีเปอตวนอากงประจำปี โดยไม่เปลี่ยนตามรัชกาล 31 สิงหาคม วัน MERDEKA ที่สหพันธรัฐมลายา ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ.2500
กัมพูชา 31 ตุลาคมวันพระราชสมภพของสมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ 9 พฤศจิกายน วันที่กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2496
บรูไน 15 กรกฎาคม วันพระราชสมภพของสุลต่านแห่งบรูไน 23 กุมภาพันธ์ วันที่บรูไนได้รับเอกราชเป็นทางการในปี พ.ศ.2537 หลังจากได้รับเอกราชอธิปไตยทางปฏิบัติจากอังกฤษมาตั้งแต่1 มกราคม พ.ศ.2527
สำหรับ 5 กรณีหลังในตารางนั้น ประเทศทั้งในยุโรปและเพื่อนบ้านอาเซียนของเราที่มีกษัตริย์เป็นประมุขของชาติ ล้วนมีวันชาติแยกต่างหากจากวันเฉลิมฉลองพระราชสมภพของพระประมุขกันทั้งนั้น และเฉลิมฉลองไปด้วยกันทั้งสองวัน, และในกรณีสวีเดนที่เดิมมีแต่วันพระราชสมภพของพระประมุข ก็ได้เปลี่ยนแปลงหันมากำหนดวันชาติขึ้นเฉลิมฉลองควบคู่ไปด้วยในฐานะวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติหลักสิทธิเสรีภาพของพลเมืองสวีเดนขึ้นไว้
ดังนั้น สมมติฐานในเหตุผลข้อแรกของคณะกรรมการที่ว่า "ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ" จึงไม่จำต้องนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าต้องยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนาฯ เสียแล้วเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาฯ แทน
เพราะในบรรดาประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขทั้งหลายนั้น มีกรณีตัวอย่างประเทศซึ่งเฉลิมฉลองแต่วันพระราชสมภพของพระประมุข ในจำนวนที่ถ้าไม่ใกล้เคียงก็น้อยกว่า ตัวอย่างของประเทศที่เฉลิมฉลองทั้งวันชาติกับวันพระราชสมภพของพระประมุขไปด้วยกันอย่างชอบธรรมทั้งคู่, ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยเราจะเลือกเอาอย่างใครในฐานะประเทศที่เคยมีวันชาติมาแล้วโดยเป็นวันเริ่มการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแต่มาถูกรัฐบาลเผด็จการทหารอาญาสิทธิ์สั่งยกเลิกไปเสีย
ส่วนเหตุผลยกเลิกวันชาติ 24 มิถุนาฯ ข้อหลังที่ว่า "เพื่อเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน" นั้นฟังดูน่าพิศวง ราวกับกล่าวอ้างเปรียบเทียบทำนองว่าเมื่อเอาวันชาติ 24 มิถุนาฯ มาวางไว้ข้างๆ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ 5 ธันวาฯ แล้ว, 24 มิถุนาฯ ดูจะไม่สมัครสมานสมัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วถึงกันเท่ากับ 5 ธันวาฯ กระนั้นหรือไร?
ชวนให้สนเท่ห์ใจต่อไปว่า ถ้ากระนั้นแล้ว ใครหรือคนกลุ่มใดในชาติไทยที่รู้สึกแสลงใจ สมัครสมานสามัคคีไม่สนิทใจกับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เล่า?
|