ผู้จัดการรายสัปดาห์,
Monday, January 05, 2004
|
ผวาเมืองใหม่ นครนายก "ร้าง" หลังรองนายกฯ บินดูงานมาเลย์
โดยMGR ONLINE
"เมืองใหม่นครนายก" เจอโจทย์หินที่ต้องเร่งแก้ หลัง รองนายกฯ วิษณุ ควงอธิบดีกรมโยธาฯ บินดูงานเมืองใหม่ มาเลย์ "ปุตราจายา" เพื่อนำมาประยุกต์กับโครงการนี้ ระบุสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทำอย่างไรให้เมืองมีชีวิตชีวา ขณะที่ ม.ค.47 เตรียมออกพ.ร.ฎ. เวนคืนที่ดิน 2 แสนไร่ เผยราคาเวนคืนประชาชนไม่เสียเปรียบ ส่วนงานวางผังฯนายกฯยังไม่ตัดสินว่าจะจ้างที่ปรึกษาไทยหรือเทศ
โครงการก่อสร้างเมืองใหม่นครนายก ที่ถูกขีดวงไว้จะครอบคลุมพื้นที่ อำเภอบ้านนา อำเภอวิหารแดง ของจ.นครนายก และคาบเกี่ยวอำเภอแก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ไปดูแลเรื่องการก่อสร้าง คือ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และสว่าง ศรีสกุน อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปดูงานที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดทำเมืองใหม่
ศึกษาจุดอ่อนมาเลย์สร้างเมืองใหม่นครนายก
สว่าง ศรีสกุน อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ระบุว่า การดูงานครั้งนี้เพื่อศึกษาแนวคิดการจัดสร้างเมืองใหม่โดยดูสถานที่จริง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบ้านเรา
"ที่มาเลเซียเราได้ไปที่เมืองปุตราจายา และไซเบอร์จายา โดยปุตราจายาจะเป็นเมืองศูนย์กลางราชการของมาเลย์ฯ ส่วนไซเบอร์จายา คือเมืองอุตสาหกรรมไอที โดยเป็นเมืองคู่แฝดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีถนนกั้นกลาง ที่สำคัญคือเป็นเมืองที่ได้รับการวางผังที่ดีมาก และวางไว้เผื่ออนาคต 20 ปีข้างหน้า"
ภายใต้สิ่งปลูกสร้างอาคารที่งดงาม ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมดีเยี่ยม แต่สิ่งที่สัมผัสได้ คือเป็นเมืองที่ขาดชีวิตชีวา โดยเฉพาะในเวลากลางคืน แม้จะมีประชากรมาใช้ชีวิตในเวลากลางวันถึง 3 หมื่นคน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เมืองเงียบเหงาอาจเป็นเพราะเมืองใหม่ ซึ่งเป็นเมืองบริวารอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง สามารถเดินทางไปกลับโดยรถไฟ
อธิบดีกรมโยธาฯกล่าวว่า เมืองใหม่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การก่อสร้าง แต่ประเด็นที่ต้องทำการบ้านอย่างหนักคือ"สร้างแล้วใครจะเอาใครไปอยู่"และทำอย่างไรให้เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา และมีความสมบูรณ์แบบในตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เมืองใหม่นครนายก ไม่ได้เป็นเมืองศูนย์ราชการ แต่จะมีหน่วยราชการเพียงบางส่วนซึ่งเป็นกรมที่ตั้งใหม่ หรือเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่แออัดเท่านั้นที่ย้ายออกไป ทำให้เป็นโจทย์ที่ยากกว่าปุตราจายา ซึ่งมีการย้ายทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงไปอยู่เกือบทุก กระทรวง เว้นกระทรวงกลาโหม และรัฐสภา ทำให้มีต้นทุนประชากรที่จะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่แล้วส่วนหนึ่ง
นั่นหมายความว่านครนายกไม่มีประชากรต้นทุนน้อยกว่ามาก การดีไซน์เมืองเพื่อดึงคนเข้าไปอยู่ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเมืองจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถอย่างยิ่ง
"ตั้งแต่ท่านนายกฯเรียกเข้าพบ จากนั้นก็ไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูพื้นที่ ก็คิดทุกวันว่าจะเอาคนที่ไหนไปอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ยิ่งไปดูปุตราจายาแล้วยิ่งรู้ว่าเป็นงานที่ยากมากๆ ทำเนียบรัฐบาลของเขาสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ กระทรวงต่างประเทศอยู่บนภูเขา สวยมากอาคารทุกหลังออกแบบเป็นลักษณะให้มีกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมของมาเลเซีย"
ขณะนี้ในส่วนของการทำงานยังไม่ได้มีการลงลึกไปถึงขนาดที่ว่าอะไรจะอยู่ตรงไหน แต่มีแนวคิดกว้างๆว่า เมืองนี้จะเป็นเมืองที่มีความหลากหลาย ตั้งอยู่บนพื้นที่น้ำไม่ท่วม เป็นเมืองที่ไม่มีมลพิษทางอากาศไม่มีน้ำเสีย การจราจรไม่ติดขัด และเป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมสะอาด 100% มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ประชากรไม่แออัดอย่างน้อยต้องหลวมกว่ากรุงเทพฯ 2 เท่า
ในส่วนของการปลูกสร้างอาคารได้วางกรอบไว้ว่าต้องออกแบบในเชิงอนุรักษ์ ตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมไทย ประการต่อมาจะต้องกำหนดแม้กระทั่งสีของอาคารเพื่อคุมให้อยู่ในโทนเดียวกัน เช่น โซนที่อยู่อาศัยหลังคาจะต้องสีอะไร สิ่งปลูกสร้างริมถนนสายหลักไม่ควรสูงเกิน 5 ชั้น ตึกสูงต้องออกไปอยู่นอกเมือง
ในตัวเมืองถนนต้องตัดใหม่ทั้งหมด จะมีถนนสายเมนหลักลักษระเดียวกับถนนราชดำเนิน มีเขตทางกว้างเป็น 100 เมตร และต้องเริ่มปลูกต้นไม้ทันที ที่มีการเริ่มลงเข็มก่อสร้างเพื่อให้โตทันเมื่อเมืองสร้างเสร็จ
ภายใต้แนวคิดเมืองในฝัน (Heaven City) เป็นความตั้งใจของนายกฯที่ต้องการสร้างพระราชวังถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสพระชนมายุครบ 7 รอบ ในอีก 8 ปีข้างหน้า หรือ พ.ศ.2554 เพื่อให้เป็นเมืองประจำรัชกาล ดังนั้นแม้แต่การคัดเลือกต้นไม้ก็จะต้องมีความหมาย
"ต้นไม้อาจจะปลูกต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำเมือง เพราะพระราชวังของพระเจ้าอยู่หัวอยู่ที่นี่ ในที่สุดเมืองใหม่จะต้องรองรับคน 2.5 แสนคน แต่ต้องอาศัยระยะเวลานับสิบปี กว่าจะถึงจุดนั้น อาจจะเริ่มต้นที่หลักหมื่นเพื่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเมืองแต่ละเมืองอย่าง ทามะของญี่ปุ่น หรือ แคนเบอร่า ของออสเตรเลีย หรือเมืองเชงดองของจีนก็ดีใช้เวลาเป็นสิบๆปีเช่นกัน"
ออกพ.ร.ฎ.เวนคืนม.ค.47
สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงาน ปัจจุบัน กรมที่ดินกำลังสำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดแนวเวนคืนที่ดินเพื่อให้แล้วเสร็จทันปลายปี 46 เมื่อร่างเสร็จแล้วต้องเสนอคณะกรรมการที่นายกฯตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง จากนั้นจะประกาศเขตและสำรวจแนวที่ดินที่จะก่อสร้างเมืองใหม่ จึงตราร่างพ.ร.ฎ.กำหนดเขตเวนคืนที่ดินประมาณเดือนมกราคม เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
โดยพื้นที่ซึ่งอยู่ในแนวเวนคืนทั้งหมดมีประมาณ 2 แสนไร่ แต่บริเวณที่จะเป็นเมืองจริงๆแค่ 5-6 หมื่นไร่ ประกอบด้วยเขตชุมชน ย่านที่อยู่อาศัย ย่านการค้า และจะมีการขุดทะเลสาบขนาดหลายร้อยไร่ขึ้นมาในเมืองด้วย
ส่วนการพิจารณากำหนดค่าชดเชยจากการเวนคืนที่ดินนั้น อธิบดีกรมโยธาธิการฯ กล่าวว่า จะเป็นราคาที่ยุติธรรม การจ่ายค่าเวนคืนไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงินอย่างเดียว แต่อาจจะอยู่ในรูปพันธบัตร และเชื่อว่าเป็นราคาที่ประชาชนไม่เสียเปรียบ เพราะมีการนำราคาประเมิน ราคากลาง ราคาซื้อขาย ครั้งสุดท้าย 3-4 แห่งมาเฉลี่ยมาประกอบ อีกทั้งมีการตั้งกรรมการฝ่ายประชาชนขึ้นมาพิจารณาด้วย
ยังไม่ฟันธงใช้ที่ปรึกษาไทย/เทศ?
ในส่วนของการจัดวางผังฯ ใช้เวลาอีก 3-4 เดือนนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะต้องว่าจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษามาจัดทำผังเมืองหรือไม่ ข้อดีของการใช้มันสมองจากนักวางผังเมืองในประเทศคือสามารถประหยัดเงินตราได้ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านักวางผังต่างชาติมีแนวคิดและประสบการณ์ มากกว่า การดีไซน์เมืองไม่ว่าจะเป็นที่จีน ญี่ปุ่น หรือที่มาเลเซีย ล้วนแต่ใช้นักวางผังระดับโลกทั้งสิ้น
นอกเหนือจากระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ ทั้งถนนหนทาง รถไฟความเร็วสูง ไฟฟ้า น้ำประปา ซึ่งรัฐเป็นผู้ลงทุนแล้ว รัฐบาลจะจัดตั้งบรรษัทพัฒนาเมือง หรือ UDC (Urban Devellopment Co-Operation) ขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ และจัดทำสัญญากับเอกชนที่จะเข้ามาพัฒนาที่ดินในเมืองใหม่
"วิธีการพัฒนาพื้นที่จะให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ เช่น บริษัทพัฒนาที่ดินที่สนใจ เข้ามาทำที่อยู่อาศัย ก็รับไปเลย 3 พันยูนิต โดยเสนอผลตอบแทนให้รัฐ ซึ่งรัฐจะเปิดการประมูลระดับ INTER BID สิ่งที่ควรมี คือศูนย์ประชุมนานาชาติ สนามกอล์ฟ 5 สนามในบริเวณเดียวกัน โรงแรม 5 ดาว รีสอร์ต มีสปอร์ตคอมเพล็กซ์ เพื่อรองรับการประชุมระดับนานาชาติ เป็นต้น ที่ผ่านมามีนักลงทุนให้ความสนใจสอบถามเข้ามามาก ในเรื่องของรูปแบบที่จะเข้าไปลงทุนทั้งนักพัฒนาที่ดิน ซึ่งสนใจว่าจะไปทำอะไรได้บ้าง"
การจูงใจให้มีการย้ายฐานการลงทุน รัฐบาลจะใช้มาตรการทางภาษี หรือมี Incentive ในรูปแบบอื่นเพื่อกระตุ้น เช่น ถ้าจะให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค รัฐอาจจะให้ไลเซ่นแบงก์ต่างชาติมาตั้งได้ กรณีมาสร้างสำนักงานใหญ่ที่นี่
ส่วนตัวเลขประมาณการลงทุนบื้องต้นในการจัดสร้างเมืองใหม่จะใช้เงิน 1 ล้านบาท ต่อประชากร 1 คน ดังนั้นหากมีคนไปอยู่ 2.5 แสนคน เท่ากับว่าโปรเจกต์นี้ต้องใช้เงินลงทุน 2.5 แสนล้านบาท
|