ประชาชาติธุรกิจ,
ปีที่ 27 ฉบับที่ 3541 (2741) วันที่ 18 ธันวาคม 2546, หน้า 44
|
ปรับแนวคิดพัฒนาเมืองใหม่ ระวัง! จะซ้ำรอยกรุงเทพฯ - รายงาน
โดย ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเมืองใหม่ลงตีพิมพ์ใน "ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับวันที่ 8-10 ธันวาคมที่ผ่านมาไปแล้ว และคิดว่าจะหยุดไว้เพียงแค่นั้น แต่ข่าว "เมืองใหม่" ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ทนไม่ได้ที่ต้องเขียนต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศบ้านเมืองโดยรวม
ผมชื่นชมการ "คิดใหม่-ทำใหม่" ของรัฐบาลในโครงการต่างๆ ที่ผ่านมามาก แต่กำลังเป็นห่วงว่าโครงการ "เมืองใหม่" จะไปได้แค่ไหน
การพัฒนาที่ดินเป็นสิ่งที่ผมถนัด และได้เคยศึกษาดูงานเมืองใหม่ทั่วโลกมามาก ทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่สำเร็จ
"เมืองใหม่" ที่รัฐบาลกำลังคิดจะทำ มีแนวทางหลายประเด็นที่กำลังหลงทาง และจะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไข
บทความที่แล้วที่ผมเขียนไว้ ใจความว่า : ผมเห็นด้วยกับการสร้างเมืองใหม่ เพื่อเป็นศูนย์ราชการ และลดความแออัดของกรุงเทพฯ โดยใช้ระยะเวลาเดินทางไม่เกิน 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ทั้งนี้ การคิดทำเมืองใหม่จะต้องเริ่มคิดจาก "คน" ก่อน ไม่ใช่ "พื้นที่ดิน" เมืองใหม่จะต้องใหญ่พอที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า บันเทิง สถานศึกษา โรงพยาบาล สวนสาธารณะ วัด ฯลฯ มิฉะนั้นจะหาคนไปอยู่ลำบาก แต่ถ้าจะทำเป็นเมืองเล็กๆ ในลักษณะ "เมืองอยู่อาศัย" ก็ควรจะทำหลายๆ เมือง และอยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯได้มากกว่า
ข่าวที่พบในสื่อมวลชน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏดังนี้
รัฐบาลจะสร้าง "เมืองใหม่" หลายเมือง ทั้งที่ บ้านนา, ป่าสัก และที่อื่นๆ โดยจะทำเป็น "เมืองอยู่อาศัย" โดยใช้พื้นที่ดินประมาณ 1.5-2.0 แสนไร่ จะสร้างวังใหม่ถวายในหลวง จะเป็นเมืองที่ปลอดมลพิษ มีส่วนราชการเพียงส่วนน้อย จะให้เป็นศูนย์การเงิน-พาณิชย์ ด้วย และให้มีอุตสาหกรรมที่ไร้มลพิษ เมื่อเป็นเมืองทันสมัยก็จะแพง จึงจะอยู่ได้เฉพาะผู้ที่มีรายได้ 35,000 บาท/เดือนขึ้นไป และให้แรงจูงใจคนที่จะไปอยู่ "เมืองใหม่" โดยลดภาษีให้
ผมจึงขอแสดงความเห็นแนวทาง "เมืองใหม่" เพิ่มเติม ที่ควรจะเป็นดังต่อไปนี้ คือ
1.วัตถุประสงค์ต้องชัดเจน
แนวทางในการทำ "เมืองใหม่" มี 2 แนวทางใหญ่ๆ คือ
1.1 เมืองอยู่อาศัย (Dormitory Town) มีขนาดเล็ก ผู้คนที่อยู่อาศัยจะเดินทางเข้าทำงานในกรุงเทพฯเป็นหลัก
1.2 เมืองสมบูรณ์แบบ (Self Sufficient City) มีขนาดใหญ่ ผู้คนที่อยู่อาศัยทำงานใน "เมืองใหม่" เป็นหลัก
2.เมืองอยู่อาศัย ต้องใกล้กรุงเทพฯ
ถ้ารัฐบาลมีแนวความคิดว่าจะทำเป็น "เมืองอยู่อาศัย" โดยไม่มีแหล่งงานหลักให้คนที่อยู่อาศัยใน "เมืองใหม่" นี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเดินทางไปกลับกรุงเทพฯเกือบ 200 กิโล เมตรต่อวัน ซึ่งไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจการลงทุน และความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ของผู้เดินทาง
ถ้าสร้างจริงๆ สงสัยว่า จะหาคนไปอยู่ได้กี่คน ?
ประเทศอังกฤษเคยเป็นประเทศที่มีการสร้างเมืองใหม่มากหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมใหม่ๆ และปรากฏว่าผู้คนใน "เมืองอยู่อาศัย" จะย้ายกลับไปอยู่ลอนดอน เพราะไม่สะดวกที่ต้องเดินทางไกล แต่เมื่อปรับปรุงแบบให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบที่เพิ่ม แหล่งงานในเมืองใหม่ ก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น
"เมืองอยู่อาศัย" จึงควรจะห่างจากกรุงเทพฯ 30-60 กิโลเมตร ไม่ใช่ประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งไกลเกินไป
"เมืองอยู่อาศัย" เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนได้สร้างอยู่แล้ว และมีตัวอย่างให้เห็นในหลายๆ ทำเล เช่น รังสิต แจ้งวัฒนะ สมุทรสาคร เป็นต้น แต่ละแห่งใช้เวลาพัฒนาไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป สภาพของสิ่งแวดล้อม สังคมคนอยู่อาศัย บ้านว่าง...มีตัวอย่างของจริงที่ประจักษ์แก่สายตา
3.เมืองสมบูรณ์ในตัวเองต้องมีแหล่งงานหลัก
ถ้ารัฐบาลจะคิดทำ "เมืองใหม่" ที่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 100 ก.ม. เป็นเมืองสมบูรณ์แบบที่มีแหล่งงานหลัก โดยผู้คนที่อยู่อาศัยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าทำงานกรุงเทพฯ
การสร้างแหล่งงานหลักในเมืองใหม่ทำได้หลายลักษณะ เช่น
3.1 ศูนย์ราชการ รัฐบาล จะทำให้ง่ายที่สุดเพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโดยตรง
3.2 ศูนย์อุตสาหกรรมไฮเทค รัฐบาลทำได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือในการลงทุนจากเอกชน
3.3 ศูนย์การเงิน-พาณิชยกรรม โอกาสเกิดขึ้นได้ยาก รัฐบาลควรจะส่งเสริมโครงการของกรุงเทพ มหานคร ซึ่งเคยคิดที่จะพัฒนาย่านพระรามที่ 3 ให้เป็นศูนย์การเงิน-พาณิชยกรรม จะเกิดขึ้นได้ง่ายและเหมาะสมกว่า ประกอบกับมีที่ดินผืนใหญ่ของหน่วยราชการอยู่ด้วย เช่น การท่าเรือ เป็นต้น
ตัวอย่างการพัฒนาในต่างประเทศ เช่น ชินจูกุ ในโตเกียว, LA-DEFENSE ในปารีส, ผู่ตง ในเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น
4.เมืองสมบูรณ์ในตัวเองต้องใหญ่พอ
"เมืองใหม่" ที่คนอยู่อาศัยรู้สึกว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ครบครันนั้นต้องใหญ่พอ
ขนาดของเมืองควรจะใหญ่ขนาดไหน ไม่ใช่อยู่ที่พื้นที่ดิน แต่อยู่ที่จำนวนประชากร เช่น ถ้ามีขนาดใกล้เคียงกับเกาะภูเก็ตก็จะประมาณ 300,000 คน
"เมืองใหม่" ที่เล็กเกินไปจะขาดเสน่ห์ที่เมืองใหญ่มี เช่น จะไม่มีโรงละคร พิพิธภัณฑ์ ไม่มีร้านค้า ภัตตาคารบางประเภท และบริการบางอย่าง...ฯลฯ
ดังนั้น "เมืองใหม่" ที่ห่างจาก "กรุงเทพฯ" ประมาณ 100 กิโลเมตร มีจำนวนประชากรมากพอ ที่ไปใช้บริการต่างๆ ที่ประชาชนอยากจะให้มี จึงควรมีจำนวนประชากรประมาณ 300,000-500,000 คน
5.ไม่ควรให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ผู้อยู่ "เมืองใหม่"
การให้สิทธิพิเศษทางภาษี จะเป็นการนำเอาภาษีอากรจากคนทั่วประเทศไปจุนเจือคนส่วนน้อย ซึ่งเป็นคนรายได้ปานกลางถึงรายได้สูง
"เมืองใหม่" ควรจะมีเสน่ห์เพียงพอที่จะจูงใจให้คนย้ายไปอยู่ เช่น มีงานดี รายได้ดี สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สิ่งแวดล้อมดี น่าอยู่อาศัย เดินทางสะดวก ราคาไม่แพง ฯลฯ
6."เมืองใหม่" ต้องมีคนทุกระดับรายได้ ทุกเพศ ทุกวัย
"เมืองใหม่" ถึงจะมีประชาชนที่เป็นผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องมีพนักงานที่ทำงานบริการในด้านต่างๆ เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย แม่บ้าน บริการ ฯลฯ
"เมืองใหม่" ในหลายประเทศบางเมืองส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บางเมืองมีเพศใดเพศหนึ่งมากไป ทำให้ขาดความสมดุลในสังคม "เมืองใหม่"
7. "เมืองใหม่" ปลอดมลพิษ
ปัจจุบันโครงการอาคารชุดอยู่อาศัยเพียง 80 หน่วยขึ้นไป ก็ต้องศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องปลอดจากปัญหามลพิษทั้งปวงอยู่แล้ว ไม่ว่าน้ำเสีย อากาศเสีย ขยะ การจราจร และปลอดจากอุทกภัย และอัคคีภัย ฯลฯ
ดังนั้น การที่คิด-ทำ "เมืองใหม่" ให้เป็นเมืองไร้มลพิษ โดยหวังว่าจะเป็นจุดขายที่ดึงดูดผู้คนให้ไปอยู่อาศัย จึงเป็นสิ่งที่เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ที่ทำอยู่แล้ว ไม่มีอะไรแปลกใหม่แต่อย่างใด
ความคิด ริเริ่ม ที่จะทำ "เมืองใหม่" ดีแล้ว อยู่ที่รัฐบาลจะปรับแนวความคิด กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และเดินไปสู่จุดหมายอย่างไร
|