สำนักข่าวพิมพ์ไทย - นายประมวล รุจนเสรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่กำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่ากรมโยธาธิการและผังเมือง เร่งดำเนินการยกร่างแนวการเวนคืนที่ดินในพื้นที่เมืองใหม่ "นครนายก" ใน 3 อำเภอ ที่จะก่อสร้างโครงการ ได้แก่ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก อำเภอแก่งคอย และอำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี รวม 200,000 ไร่ ซึ่งจะส่งผลให้ชาวบ้านอาจถูกเวนคืนที่ดินว่า ถ้าพูดแบบนั้นจะทำให้ชาวบ้านตกใจได้ เพียงแต่เราจะเข้าไปปูสภาพของที่ดินไว้ก่อน แล้วจะเรียกชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดินมาตกลงว่า จะปรับที่ดินของเขาอย่างไร ไม่ใช่ไปเวนคืนทีเดียว โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง จะมีการทำผังเมืองให้เจ้าของที่ดินดู หากชาวบ้านจะอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ก็สามารถอยู่ต่อไปได้ ไม่ได้ไปเอาที่ดินของชาวบ้านแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามผู้ว่าฯซีอีโอจะต้องลงไปชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นเตรียมการ ยืนยันว่าในหลักการแล้วจะไม่ไปเอาที่ดินของชาวบ้านมาฟรีๆ

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม นายสว่าง ศรีสกุน อธิบดีกรมโยธาธิการ และผังเมือง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำโครงการเมืองใหม่นครนายก ว่า กรมอยู่ระหว่างการจัดทำแนวเวนคืนที่ดินอยู่โดยคาดว่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์แล้ว หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดการเวนคืนที่ดินจำนวน 200,000 ไร่ต่อไป ซึ่งการเวนคืนที่ดินนั้นจะถือจากราคาประเมิน ราคาตลาด(ซื้อขาย) และมากำหนดราคากลางกันอีกครั้ง รวมทั้งจะต้องไปจัดทำผังรายละเอียดของพื้นที่ว่าจะประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยจะใช้เป็นพื้นที่เมืองจริงๆ 5-6 หมื่นไร่ เชื่อว่าหลังจากได้รับอนุมัติการเวนคืนก็จะสามารถจัดทำผังเมืองเสร็จใน 3-4 เดือน โดยให้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาช่วยจัดทำ

นายสว่างกล่าวถึงองค์ประกอบ และรายละเอียดของเมืองใหม่ว่า ในเบื้องต้นจะมีประชากร 3 หมื่นคน และภายใน 10 ปี จะเพิ่มเป็น 2.5 แสนคน โดยจะมีมาตรการจูงใจให้คนเข้าไปอยู่ เช่น มาตรการทางภาษีหรือการให้ใบอนุญาตต่างๆเป็นต้น ภายในจะประกอบด้วยมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย ศูนย์ราชการ และอุตสาหกรรมสะอาด เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ(ไอที) เป็นต้น ศูนย์การประชุม สนาม กอล์ฟ 5 สนาม โรงแรม 5 ดาว รีสอร์ต สปอร์ตคลับ ที่เหลือจะเป็นแหล่งน้ำ สวนและพื้นที่สีเขียวอื่นๆ คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างและลงทุน 2.5 แสนล้านบาทหรือเท่ากับ 1 ล้านบาท ต่อประชากร 1 คน

นายสว่างกล่าวว่า รูปแบบอาคารต่างๆ ที่อยู่ในเมืองใหม่ จะต้องมีลักษณะที่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และต้องกำหนดสีที่จะใช้ทาอาคาร ในส่วนของอาคารที่อยู่ติดถนนหลักจะต้องสูงไม่เกิน 5 ชั้น ส่วนอาคารสูงจะต้องอยู่นอกเมือง เพื่อให้เป็นระเบียบสวยงาม ซึ่งจะใช้หลักผังเมืองควบคุมการเติบโตของเมือง และคาดว่าอาจจะใช้ต้นราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำเมือง

"วิธีการก่อสร้างและพัฒนา จะเปิดให้เอกชนนานาชาติเข้าร่วมประมูล โดยจ่ายผลประโยชน์ให้กับภาครัฐ ทั้งนี้จะมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารจัดการเป็นผู้แลผลประโยชน์และการจัดทำสัญญาต่างๆ อย่างเช่น ศูนย์ประชุมที่จะก่อสร้างนั้นจะต้องใหญ่สุดในเอเชียหรือโลกก็ได้ โดยจะต้องจุคนไม่น้อยกว่า 5,000 คน" นายสว่างกล่าว

นายสว่างกล่าวว่า พื้นที่ที่จะคัดเลือกในการก่อ สร้าง ต้องน้ำไม่ท่วม อากาศดี การจราจรไม่ติดขัด มีอุตสาหกรรมสะอาด และส่วนราชการบางส่วนต้องไปอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะหน่วยงานที่ไม่ต้องติดต่อกับประชาชน รวมทั้งหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในที่แออัด ส่วนการเวนคืนที่ดินนั้นยืนยันว่าจะได้เปรียบรัฐ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหลังจากที่มีข่าวออกไปราคาที่ดินในย่านดังกล่าวได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนมือหรือซื้อขาย เนื่องจากเจ้าของที่ดินไม่ยอมขาย

"หลังจากรัฐมีนโยบายดังกล่าว ได้รับความสน ใจจากเอกชนหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องการการทราบรายละเอียดโครงการว่ามีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันผังใหม่เป็นอย่างไร ทั้งนี้เมืองใหม่ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 8 ปี เพราะเป็นเมืองแห่งรัชกาลที่ 9 ซึ่งจะเปิดได้เมื่อฉลองครบ 7 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเมืองที่รัฐบาลสร้างถวายให้ท่าน" นายสว่างกล่าว และว่า เชื่อว่าเมืองใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเนื่องจากมีความพร้อม 4 ประการคือ 1.เศรษฐกิจของประเทศดี 2.รัฐบาลต้องมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ 3.มีภาวะความเป็นผู้นำสูง 4.มีการบริหารจัดการที่ดี

อธิบดีกรมโยธาธิการฯ กล่าวว่า ส่วนการคมนาคมระหว่างเมืองนั้น จะมีทั้งรถยนต์และรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง

รายงานข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ที่จะก่อสร้างเมืองใหม่นั้นจะครอบคลุม 2 จังหวัด คือนครนายกและสระบุรี โดยครอบคลุม 3 อำเภอคือ บ้านนา ของ จ.นครนายก อ.วิหารแดง และแก่งคอย ของ จ.สระบุรี โดยเมืองจะอยู่จุดกึ่งกลางระหว่าง 3 อำเภอดังกล่าว มีด้านหลังติดภูเขา ส่วนด้านหน้าจะเป็นถนนหลัก