ศิลปวัฒนธรรม,
วันที่ 01 เมษายน พุทธศักราช 2546 (ปีที่ 24 ฉบับที่ 6), หน้า 136
|
เรื่องจากปก
สืบจากซาก ตามรอยคนโบราณที่เพิงผาถ้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
รัศมี ชูทรงเดช คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
เมื่อฤดูร้อนและฤดูฝนในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ผ่านมา มีการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอดหรือถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นและลือนามของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยโครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) มีการดำเนินงานที่เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคนโบราณ ชุมชน และวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์สมัยปลายยุคน้ำแข็งที่มีอายุเก่าแก่นับหมื่นปี
หลักฐานทางโบราณคดีชุดนี้เป็นการค้นพบ "คนโบราณ" เป็นครั้งแรกในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
การค้นพบข้อมูลใหม่ที่อำเภอปางมะผ้ามีความหมายอย่างไรต่อประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนผืนแผ่นดินไทย?
มีแน่นอน... เพราะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับวิวัฒนาการของคนบนผืนแผ่นดินไทย
หลักฐานของ "คนโบราณ" นั้นมีอยู่น้อยมากในประเทศไทย ถ้าไม่นับฟอสซิลของ "โฮโม อีเรคตัส" ที่พบจากจังหวัดลำปาง ก็มีเพียงแหล่งโบราณคดีถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ (สุรินทร์ ภู่ขจร และคณะ ๒๕๓๗) และแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน (รัศมี ชูทรงเดช ๒๕๔๔) เท่านั้นที่มีการขุดค้นอย่างเป็นระบบและมีการตรวจสอบหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอน ได้ค่าอายุที่เก่าถึงปลายสมัยน้ำแข็ง
หลักฐานของคนนี้เองจะช่วยทำให้เราทราบรากเหง้าของบรรพบุรุษของ "คนไทย" และลักษณะทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ก่อนที่จะมีการผสมผสานจนมาเป็น "คนไทย" ในปัจจุบัน การปะติดปะต่อภาพอดีต จึงต้องอาศัยการต่อหลักฐานที่ค้นพบทีละชิ้นเข้าด้วยกัน
คุณค่าของการค้นพบโครงกระดูกคนโบราณนั้นมีมากมายมหาศาล ขุมทรัพย์ทางปัญญานี้นำไปสู่การสืบค้นหารากเหง้าของบรรพบุรุษของ "คนไทย" ที่เที่ยงตรงและน่าเชื่อถือที่สุด หากเราสามารถลำดับหรือจัดจำแนกสายวิวัฒนาการของคนในประเทศไทยได้ว่า เป็นสายพันธุ์ใด คนโบราณที่เพิงผาถ้ำลอดใช่สายพันธุ์ที่สืบมาจากโฮโม อีเรคตัสที่พบจากจังหวัดลำปาง จริงหรือไม่ (เราควรจะต้องติดตามผลการศึกษาทางวิชาการในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร มีอายุเท่าไหร่กันแน่) สายพันธุ์โฮโมในประเทศไทยมีกี่ชนิด วิวัฒน์เป็นเชื้อชาติใดต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยทำให้สามารถจำแนกละลอกของการเคลื่อนย้ายไปมาของคนบนผืนแผ่นดินไทยแต่ละช่วงเวลาได้
เมื่อพบหลักฐานทางโบราณคดีร่วมกับโครงกระดูกคน ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงลักษณะของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่คนโบราณได้สร้างสรรค์ในแต่ละยุคสมัย และจะทำให้เราจำแนกได้ว่าอะไรเป็นลักษณะวัฒนธรรมดั้งเดิมและอะไรเป็นวัฒนธรรมที่เข้ามาใหม่ที่ผสมผสานกันจนเป็น "วัฒนธรรมไทย" ในที่สุด
อย่างไรก็ดีความรู้เรื่องวิวัฒนาการของคนและวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ตอนต้นในประเทศไทยยังอยู่ในมิติลี้ลับ ที่รู้กันในแวดวงที่จำกัดมากๆ คนทั่วไปรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เข้าใจและห่างจากตัวเขามาก การทยอยพบหลักฐานของคนโบราณที่อายุเก่าแก่นับหมื่นหรือแสนปีในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากแหล่งโบราณคดีต่างๆ ในประเทศไทย น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มสร้างองค์ความรู้ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทีนี้วกกลับมาสู่เรื่องของเพิงผาถ้ำลอด
แม้ว่าโครงกระดูกจากแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด (ประมาณ ๑๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว) มีอายุน้อยกว่าถ้ำหมอเขียว (ประมาณ ๒๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว) แต่เป็นค่าอายุที่เก่ามากที่สุดเท่าที่เคยพบในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งสอดคล้องกับงานของเชสเตอร์ กอร์มัน นักโบราณคดีชาวอเมริกันที่พบหลักฐานการอยู่อาศัยของคนจากถ้ำผี เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปี และเป็นการยืนยันว่าอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นดินแดนเก่าแก่ มีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบเนื่องยาวนาน และน่าเป็นต้นเค้าของชุมชนโบราณในภาคเหนือทีเดียว
หากท่านผู้อ่านได้ติดตาม "ศิลปวัฒนธรรม" มาโดยตลอด คงจะเคยอ่านบทความที่ผู้เขียนเคยเขียนลงเรื่องเกี่ยวกับ "โลงไม้หรือผีแมนในเมืองสามหมอก" ซึ่งเป็นปริศนาที่ยังมืดมน เรายังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับที่มาหรือที่ไปของคนในวัฒนธรรมโลงไม้ การพบโครงกระดูกในบริเวณเพิงผาถ้ำลอดจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดี เพราะจะช่วยคลี่คลายและเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับคนในวัฒนธรรมโลงไม้หรือผีแมนที่พบในถ้ำน้ำลอดได้ และอาจจะช่วยไขปัญหาว่ามีความสัมพันธ์กับลัวะหรือไม่ เพราะมีนักวิชาการบางท่านได้สันนิษฐานว่าคนในวัฒนธรรมโลงไม้อาจจะเป็นลัวะ
ดังนั้นแม้ว่าในหนังสือหรือตำราทางด้านประวัติศาสตร์แทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแม่ฮ่องสอนเลย ผลการศึกษาของโครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทำให้เราสามารถจะกล่าวได้ว่าแม่ฮ่องสอนไม่ใช่ดินแดนใหม่ที่เพิ่งมีประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ดินแดนล้าหลัง หรือมีการอพยพเคลื่อนย้ายของคนมาตั้งรกรากในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์! คนดั้งเดิมอาจจะอยู่ที่นี่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว
บทความนี้ผู้เขียนจะนำท่านไปสู่การค้นพบใหม่ของนักโบราณคดีชาวไทย ที่ต้องการจะสืบค้นความเป็นมาของคนโบราณที่อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
รู้จักปางมะผ้ากันหน่อย
อำเภอปางมะผ้า เป็นอำเภอที่อยู่ตอนเหนือสุดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และอยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศไทย จุดเด่นของอำเภอปางมะผ้าที่ทำให้เป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างประเทศคือ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชีวภาพ เปรียบเสมือนกับพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมชั้นนำของโลกทีเดียว ความงดงามของถ้ำ ป่าไม้ และวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจคนทั่วไป
อำเภอปางมะผ้า แต่เดิมมีฐานะเป็นกิ่งอำเภอที่ขึ้นตรงต่ออำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๔๑ จึงได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอ แบ่งการปกครองออกเป็น ๔ ตำบล คือตำบลปางมะผ้า ตำบลสบป่อง ตำบลถ้ำลอด และตำบลนาปู่ป้อม
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ อำเภอปางมะผ้าเคยเป็นพื้นที่ที่ทหารญี่ปุ่นตัดถนนจากอำเภอปายไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อเข้าไปยังประเทศพม่า ต่อมาสมัยหลังสงคราม พ่อค้าและประชาชนทั่วไปก็ได้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคม โดยมีจุดพักค้างแรมที่บ้านสบป่องแม่อูมอง
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ทางราชการได้จัดตั้งสถานีตำรวจภูธรตำบลเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ผู้สัญจรผ่าน ณ จุดที่เรียกว่า "ปางมะผ้า" (มะผ้า หรือหมากผ้า เป็นภาษาไต แปลว่ามะนาว) เพราะจุดนี้สามารถหามะนาวปรุงอาหารได้ และมีชาวไต (ไทยใหญ่) มูเซอ ลีซอ ตั้งบ้านเรือนกระจายเป็นหย่อมๆ
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ทางราชการได้ตัดถนนและมีการขยายตัวของชุมชนมากขึ้นตามลำดับ
ชุมชนรอบๆแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด
กฤษณ์ เจริญทอง และคณะ (๒๕๔๒) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับชุมชนต่างๆ ในอำเภอปางมะผ้า และรายงานเกี่ยวกับหมู่บ้านถ้ำลอด ในอำเภอปางมะผ้า ว่ามีอายุประมาณ ๓๓ ปี ประชากรส่วนใหญ่ของบ้านถ้ำลอดเป็นชาวไทยใหญ่
ตามประวัติบอกเล่ากล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้มีครอบครัวชาวไทยใหญ่ ๕ ครอบครัว อพยพมาจากหมู่บ้านหัวลาง บ้านปางแปก บ้านไม้ลัน และบ้านปางคาม ซึ่งเดิมมีอาชีพทำการเกษตร และที่ทำกินมีความลาดชันสูงจึงมีการอพยพย้ายไปหาที่ทำกินใหม่ ผู้นำในการย้ายครั้งนี้ คือ นายวีระชัย หอมสกุลขจร ปัจจุบันอายุ ๖๖ ปี ในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นหมอผี (หมอกลางบ้านหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหมอไสยศาสตร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "หมอเมือง" ในเวลาเดียวกัน) กล่าวคือ เป็นผู้เสี่ยงทายในการเลือกและสร้างถิ่นฐานตลอดจนการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ของชาวบ้านอีกด้วย โดยรักษาแบบธรรมเนียมไทยใหญ่ แบบวิธีการดั้งเดิม เนื่องจากอยู่ห่างไกลแพทย์ ดังตำนานได้กล่าวไว้ว่า "กินอย่างม่าน (ม่าน คือพม่า) ตายอย่างเงี้ยว (เงี้ยว คือไทยใหญ่)" ชาวบ้านได้ต่อสู้กับธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ และเป็นเหตุให้ปากถ้ำเปิดและส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านถ้ำลอดตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ มีชาวบ้านไปแผ้วถางป่า และพบว่าหมู่บ้านนี้มีถ้ำใหญ่มากแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ จนในที่สุดก็มีคนเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ใน ๑๐ ปีต่อมา จากนั้นชาวบ้านถ้ำลอดได้อาศัยถ้ำลอดแห่งนี้เป็นแหล่งหารายได้เสริมมาตลอดโดยการนำเที่ยวในถ้ำ
บ้านถ้ำลอดอยู่ในเขตการปกครองของหมู่บ้านแม่ละนา หมู่ที่ ๑ ตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า ขณะนั้นมีเพียงตำบลเดียวเท่านั้น ต่อมาในปีการศึกษา ๒๕๒๐ จึงมีโรงเรียนการประถมศึกษาขึ้นในหมู่บ้าน แต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ชาวบ้านที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เดิม มีโรคภัยไข้เจ็บ จนเด็กและผู้ใหญ่ตายเป็นจำนวนมาก จึงมีการย้ายหมู่บ้านเดิมไปสร้างที่ใหม่ที่เห็นในปัจจุบันนี้เรียกว่า "บ้านกลางบ้านใหม่" ส่วนบ้านที่อยู่เดิมเรียกว่า "บ้านเก่า" ไม่มีคนอาศัยอยู่ (บ้านกลางคือบริเวณที่ตั้งโรงเรียน) ส่วนบ้านใหม่คือบ้านที่ตั้งอยู่บริเวณที่นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปเที่ยวชมถ้ำลอดในปัจจุบัน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้รับการตั้งให้เป็นหมู่บ้านหลักพร้อมกับการแยกตำบล คือแยกส่วนหนึ่งออกจากตำบลปางมะผ้า เรียกชื่อตำบลใหม่ว่า ตำบลสบป่อง บ้านถ้ำลอดได้เป็นหมู่ที่ ๓ ตำบลสบป่อง
จนในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ บ้านถ้ำลอดได้รับการประกาศให้เป็นตำบล คือตำบลถ้ำลอด กำนันตำบลถ้ำลอดคนแรก คือ นายมณี เสลาสุวรรณ จนถึงปัจจุบัน
แหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด
แหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด ตั้งอยู่ภายในศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปายตอนเหนือ ในท้องที่ตำบลถ้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่มีลำน้ำลางไหลผ่านและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เพิงผาถ้ำลอด เป็นเพิงผาขนาดเล็ก ใกล้กับทางเข้าของศูนย์ศึกษาฯ ห่างจากเพิงผาถ้ำลอดประมาณ ๒๕๐ เมตร สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๖๔๐ เมตร ตั้งอยู่ตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่ ๔๒๒๔๖ ๒๑๖๒๔ (แผนที่ทางทหารระวาง 4648II ลำดับชุด L7017 พิมพ์ครั้งที่ ๑ RTSD มาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐)
การเข้าถึงแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด สามารถจะเดินทางเข้าถึงค่อนข้างจะสะดวก เพราะมีการตัดถนนคอนกรีตที่เข้ามาสู่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด โดยหากเดินทางมาจากอำเภอปาย ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๔๕ กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงจังหวัดหมายเลข ๑๐๙๕ เส้นทางเชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถสารประจำทางประมาณ ๒ ชั่วโมง และถ้าเดินทางจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๘ มีระยะทางประมาณ ๖๗ กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ ๒ ชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เมื่อถึงท่ารถบ้านสบป่อง มีถนนแยกไปยังศูนย์ศึกษาฯ ซึ่งเข้ามาเป็นระยะทางอีกประมาณ ๙ กิโลเมตร
ในแง่ความเป็นมาของถ้ำลอด สมศักดิ์ เลายี่ปา (๒๕๔๔ : ๑) หัวหน้าสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าถ้ำลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอนคนปัจจุบัน ได้เขียนประวัติความเป็นมาของถ้ำน้ำลอด (หรือถ้ำลอด) ไว้ดังนี้
"ถ้ำน้ำลอด เป็นชื่อของถ้ำขนาดใหญ่ถ้ำหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ชื่อเรียกตามลักษณะของถ้ำที่มีลำน้ำไหลลอดผ่านทะลุเขา อาณาบริเวณของถ้ำน้ำลอดแต่เดิม เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่น้ำฝั่งขวาตอนบน ต่อมาเมื่อมีประกาศจัดตั้งแม่ปายฝั่งขวาตอนบนบางส่วนเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในปี พ.ศ. ๒๕๑๕
ถ้ำน้ำลอด จึงได้รับการผนวกเข้าไว้อยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปายด้วยภายหลังเส้นทางคมนาคมระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอน กับอำเภอปาย ได้รับการพัฒนาดีขึ้น ชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้ถ้ำน้ำลอด จึงได้ขยายใหญ่ขึ้นเป็นหมู่บ้านพัฒนาตนเอง "บ้านหน้าถ้ำ" ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ บริเวณหมู่บ้านตั้งอยู่ห่างจากตัวถ้ำเพียง ๑ กิโลเมตร และได้มีพระภิกษุจากวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาและก่อตั้งสำนักสงฆ์ที่บริเวณปากถ้ำด้านน้ำไหลออก ซึ่งปัจจุบันคือสำนักสงฆ์ธรรมจาริกคูหาสวรรค์คีรีเขต ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๒ จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มีการพัฒนาตัดเส้นทางจากบ้านสบป่องเข้าไปถึงบ้านหน้าถ้ำ ระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร การเดินทางไปถ้ำน้ำลอดจึงสะดวกขึ้น...ได้พิจารณาจัดตั้งเป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด ปี พ.ศ. ๒๕๓๓..."
สืบจากซาก : ตามรอยคนโบราณที่เพิงผาถ้ำลอด
แหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด มีความเหมาะสมแก่การตั้งถิ่นฐานของคนโบราณเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นเพิงผาขนาดเล็ก มีลักษณะเปิดโล่ง อากาศถ่ายเทดี และอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ คือลำน้ำลาง ประมาณ ๒๐๐ เมตร
ทีมวิจัยโบราณคดีได้เลือกขุดค้น ๓ พื้นที่เพื่อครอบคลุมพื้นที่ทำกิจกรรมของคนในอดีต คือบริเวณเพิงผา กำหนดให้เป็นพื้นที่ ๑ (area 1) โดยขุดหลุมขุดค้นขนาด ๔ x ๔ เมตร พื้นที่ลาดชัน มี ๒ บริเวณที่ขุดค้น พื้นที่ ๒ (area 2) ขุดหลุมขุดค้นขนาด ๒ x ๖ เมตร และพื้นที่ ๓ (area 2) ขุดหลุมขุดค้นขนาด ๒ x ๙ เมตร
"คน" "วัฒนธรรม" "วิถีชีวิต" และ "อายุสมัย"
ผลการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอด สามารถสรุปเบื้องต้นได้ว่ามีคนโบราณเข้าไปใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถจะจัดลำดับสมัยทางวัฒนธรรมได้อย่างน้อย ๔ ชั้นวัฒนธรรมหลักๆ โดยพิจารณาจากหลักฐานทางโบราณคดีและชั้นทับถมทางโบราณคดี คือ
วัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ชั้นวัฒนธรรมที่ ๑ เป็นวัฒนธรรมที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ และเป็นกลุ่มสังคมขนาดเล็กที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้ง มีการเข้ามาใช้พื้นที่เพิงผาเป็นประจำ และทิ้งร้างไปบ้าง ประมาณ ๓ ระยะใหญ่ๆ คือ
ระยะแรกเมื่อประมาณระหว่าง ๒๒,๐๐๐ ถึง ๑๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว (กำหนดอายุโดยวิธีคาร์บอน ๑๔) มีร่องรอยกิจกรรม แต่ไม่พบโครงกระดูกของคน อย่างไรก็ดีจากหลักฐานทางโบราณคดี ผลการขุดค้นแสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งพื้นที่ในการทำกิจกรรม คือ
คนโบราณเข้ามาใช้พื้นที่เพิงผาหรือพื้นที่ ๑ เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวในการนอน การทำเครื่องมือหินกะเทาะ ซ่อมบำรุงเครื่องมือหิน และใช้ในการประกอบอาหารที่ทำอาหารให้สุก เพราะมีการพบกองเถ้า เศษสะเก็ดหิน แกนหิน เครื่องมือหินกะเทาะ กระดูกเผาไฟของสัตว์ขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่ เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ได้แก่สัตว์ตระกูลกวาง วัว/ควาย หมูป่า กระรอกบิน และสัตว์น้ำ เช่น หอย เต่า ปลา เป็นต้น การดำรงชีวิตก็จะล่าสัตว์ขนาดต่างๆ และจับสัตว์น้ำ
ส่วนพื้นที่ ๒ และ ๓ เป็นบริเวณที่ใช้กะเทาะเครื่องมือหิน (workshop area) พบหลักฐานของหินกะเทาะทุกขั้นตอนการผลิต ได้แก่ ค้อนหิน สะเก็ดหินและแกนหินที่ไม่ได้ใช้งาน เครื่องมือหินกะเทาะประเภทสุมาตราลิธ ขนาดต่างๆ หินเจาะรู คล้ายกับตุ้มถ่วงแห รวมทั้งก้อนหินที่น่าจะใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องมือหินกะเทาะจำนวนมาก ข้อสังเกตคือการทับถมของหินกะเทาะนั้นมีจำนวนมากและมีความหนาแน่นมาก ประมาณเกือบ ๒ เมตร แสดงให้เห็นว่าคนก่อนประวัติศาสตร์แวะเวียนมาใช้บริเวณนี้สำหรับผลิตเครื่องมือหินกะเทาะเป็นประจำ มีการคัดเลือกชนิดและขนาดของหินในการทำเครื่องมือ เช่น หินควอตซ์ไซต์ หินแอนดีไซต์ หินโคลน หินแกรนิต เป็นต้น
ระยะที่สอง ประมาณ ๑๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว บริเวณเพิงผาถูกใช้เป็นที่ฝังศพ มีการขุดหลุม และฝังศพในท่างอตัวและหันหน้าเข้าหาผนังของเพิงผา มีของเซ่นที่พบร่วมกับโครงกระดูก มีเพียงแค่ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ และก้อนหินกรวดที่อาจจะเป็นค้อนหิน ส่วนเหนือของหลุมฝังศพก็จะมีการนำก้อนหินกรวดและหินปูนขนาดใหญ่วางทับโดยรอบ เสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ที่บอกตำแหน่งการฝัง ลักษณะการฝังศพที่มีหินวางทับอยู่เหนือหลุมศพนี้มีความคล้ายคลึงกับโครงกระดูกที่ขุดค้นพบที่แหล่งโบราณคดีเพิงผาบ้านไร่ ซึ่งมีอายุประมาณ ๙,๔๐๐ ปีมาแล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่าพิธีกรรมปลงศพแบบนี้เป็นลักษณะที่พบทั่วไปในแหล่งโบราณคดีในสมัยปลายยุคน้ำแข็งและต้นยุคน้ำท่วมหรือโฮโลซีนตอนต้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ (ดีเอ็นเอ) ของโครงกระดูกนั้นกำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์โดย ดร.สุภาพร นาคบัลลังก์ และทีมวิจัยทางด้านมานุษยวิทยากายภาพ (รัศมี ชูทรงเดช ๒๕๔๔ : ๑๗)
ระยะที่สาม ประมาณ ๑๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว (รัศมี ชูทรงเดช ๒๕๔๔ : ๑๘) พื้นที่เหนือหลุมศพเดิมก็ยังคงใช้เป็นที่ฝังศพในสมัยต่อมา แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโครงกระดูกทั้งสองโครงมีความสัมพันธ์กันในทางโลหิตหรือไม่ ลักษณะการฝังศพก็มีแตกต่างไปจากหลุมแรก คือเป็นการฝังศพในท่านอนหงายเหยียดยาว ส่วนของเซ่นที่วางไว้ข้างโครงกระดูกคือสะเก็ดหิน ชิ้นส่วนของกระดูกสัตว์ และเปลือกหอย
เป็นที่น่าเสียดายว่าโครงกระดูกที่พบมีสภาพที่แตกชำรุดอย่างมากจึงไม่สามารถจะวิเคราะห์ทางด้านกายภาพได้ แต่ยังสามารถตรวจสอบทางด้านชีวภาพได้
หลังจากชั้นวัฒนธรรมที่ ๒ ก็มีการเข้ามาพักและทิ้งร้างไปอีกหลายครั้ง
ชั้นวัฒนธรรมที่ ๒ เป็นวัฒนธรรมที่ใช้ภาชนะดินเผาเนื้อดิน (Earthenware) ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ลายขูดขีด ลายกดประทับ และลายกดจุด มีการใช้พื้นที่เป็นที่พักพิงชั่วคราว อาจจะเป็นที่พักแรมระหว่างการเดินทาง ชั้นวัฒนธรรมนี้น่าจะมีอายุประมาณ ๒,๕๐๐-๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยการเปรียบเทียบอายุกับรูปแบบภาชนะเนื้อดินเผาไม่แกร่ง ซึ่งเป็นลักษณะของภาชนะดินเผาที่พบอย่างแพร่หลายมากใน "วัฒนธรรมยุคโลหะ"
อย่างไรก็ดี โครงการจะวิเคราะห์เปรียบเทียบรูปแบบและลวดลายของภาชนะดินเผากับแหล่งโบราณคดีต่างๆ ในภาคเหนือ เพื่อจะยืนยันอายุสมัยของชั้นวัฒนธรรมนี้ (สายันต์ ไพรชาญจิตร์ ๒๕๔๐)
วัฒนธรรมสมัยประวัติศาสตร์
ชั้นวัฒนธรรมที่ ๓ เป็นวัฒนธรรมสมัยประวัติศาสตร์ ภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง (Stoneware) อายุสมัยสามารถกำหนดโดยการเปรียบเทียบรูปแบบของโบราณวัตถุ เช่น เศษเครื่องเคลือบสีเขียว ก้านของกล้องสูบยา ลูกปัดดินเผา เป็นต้น
ชั้นวัฒนธรรมนี้น่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓ เช่นเดียวกับชั้นวัฒนธรรมที่ ๒ เพิงผาน่าจะถูกใช้เป็นที่พักชั่วคราว หรือที่พักแรมระหว่างการเดินทางระหว่างหมู่บ้านหรือเมืองต่างๆ (สายันต์ ไพรชาญจิตร์ และสุภมาศ ดวงสกุล ๒๕๔๐ : ๗-๕๖)
ชั้นวัฒนธรรมที่ ๔ เป็นวัฒนธรรมสมัยปัจจุบัน มีร่องรอยการรบกวนจากปัจจุบันหลายครั้ง เพิงผาถูกใช้เป็นที่พักค้างแรมชั่วคราวเช่นเดียวกัน อายุสมัยสามารถกำหนดโดยการเปรียบเทียบรูปแบบของวัตถุสมัยปัจจุบัน เช่น เศษเชือกฟาง เหรียญ ๒๕ สตางค์ กระสุนปืน เป็นต้น
ชาวบ้านถ้ำลอดเล่าว่าเพิงผานี้เคยเป็นที่พักสำหรับนายพรานที่ดักล่าสัตว์ในแถบนี้
สำหรับประเด็นเรื่องสภาพแวดล้อมโบราณ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม พอจะสรุปในเบื้องต้นได้ว่า สภาพแวดล้อมโดยเฉพาะป่าไม้และสัตว์ป่าน่าจะมีความคล้ายคลึงกับปัจจุบัน แต่คงจะมีความอุดมสมบูรณ์และหนาแน่นกว่าปัจจุบันได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ป่าพุ่มริมลำน้ำ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันสัตว์ใหญ่ๆ เช่น สัตว์ตระกูลวัวป่า/ควายป่า กวางป่า ไม่พบในหมู่บ้านถ้ำลอดแล้ว
ส่วนความปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนโบราณกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว หลักฐานทางโบราณคดีแสดงว่าคนโบราณมีภูมิความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติเป็นอย่างดี มีการเลือกใช้พื้นที่ใกล้กับแหล่งทรัพยากรคือแหล่งอาหาร แหล่งวัตถุดิบ และแหล่งน้ำ บริเวณถ้ำลอด ในอำเภอปางมะผ้าเป็นพื้นที่อยู่ในทำเลที่ดี ใกล้น้ำ มีทรัพยากรสัตว์ป่าและป่าไม้มากมาย และมีพื้นที่ราบหุบเขาที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก
ดังนั้นเพิงผาถ้ำลอดมีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงจึงถูกใช้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
บทส่งท้าย
ขณะนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมของความรู้ที่คณะผู้วิจัยจะต้องสืบค้นต่อไป และกำลังอยู่ในระหว่างการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่างๆ เช่น
การวิเคราะห์ทางกายภาพและชีวภาพ (ดีเอ็นเอ) ของโครงกระดูกที่พบในระยะที่ ๒ และ ๓ ในวัฒนธรรมที่ ๑ ว่ามีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมหรือไม่ และโครงกระดูกเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับโครงกระดูกคนในวัฒนธรรมโลงไม้หรือโลงผีแมนที่พบในถ้ำลอดซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งโบราณคดีเพิงผาถ้ำลอดหรือไม่ หากใช่ก็แสดงความมีพัฒนาการของคน สังคมและวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องและยาวนาน และอาจจะต้องศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพของโครงกระดูกที่พบจากแหล่งโบราณคดีถ้ำหมอเขียว ผลการศึกษาของโครงการจะนำมาจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆ ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
ผู้เขียนคิดว่าโครงกระดูกคนเป็นหลักฐานทางตรงที่จะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาวิวัฒนาการของ "คนไทย" และ "คน" ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี
หรือการวิเคราะห์กระดูกสัตว์เพื่อตรวจสอบความหลากหลายของชนิดของสัตว์ หากมีสัตว์บางประเภทที่สูญพันธ์ไปในปัจจุบันก็อาจจะทำให้ทราบว่าสภาพแวดล้อมของแม่ฮ่องสอนแต่เดิมเป็นอย่างไร เหมือนกับปัจจุบันหรือแตกต่างจากปัจจุบันอย่างไร เป็นต้น
นอกจากการวิเคราะห์ในข้างต้นซึ่งเป็นการสืบค้นจากมิติของเวลาที่เจาะลึกมาก หากเราไต่ตามเพดานของเวลาขึ้นมา ก็ยังมีมิติเวลาในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันที่น่าสนใจอีกหลายประเด็นที่ควรสืบค้นต่อไป โดยเฉพาะประเด็นการเป็นชุมทางการค้าขายทางบก ซึ่งจะผ่านไปทางแม่น้ำสาละวิน การค้าของป่า/ค้าทาส และการปฏิสัมพันธ์ของคนหลากหลายชาติพันธุ์ หรือประเด็นที่ปางมะผ้าอาจจะเป็นที่หลบภัยของคนพลัดถิ่น เป็นต้น
ผู้เขียนคิดว่าการค้นพบครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยาวไกลของคณะวิจัยชาวไทย เพราะยังมีจิ๊กซอว์อีกมากมายที่ค้นหาและจะต้องนำชิ้นส่วนต่างๆ จากหลายๆ สาขาวิชามาเรียงต่อเป็นภาพของประวัติศาสตร์ของผู้คนในภาคเหนือ
บรรณานุกรม
กฤษณ์ เจริญทอง (บรรณาธิการ). รายงานความก้าวหน้าของโครงการสำรวจและจัดทำระบบฐานข้อมูลถ้ำ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ครั้งที่ ๒ เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๒
รัศมี ชูทรงเดช (บรรณาธิการ). รายงานความก้าวหน้าของโครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๔
สำนักงานอำเภอปางมะผ้า. รายงานอำเภอปางมะผ้า. เอกสารโรเนียว, ๒๕๔๐
สายันต์ ไพรชาญจิตร์ (บรรณาธิการ). โบราณคดีล้านนา. กรุงเทพฯ : สมาพันธ์, ๒๕๔๐
สายันต์ ไพรชาญจิตร์ และสุภามาศ ดวงสกุล. การขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีแหล่งเตาอินทขิล บ้านสันป่าตอง ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่. โบราณคดีล้านนา. กรุงเทพฯ : สมาพันธ์, ๒๕๔๐
สมศักดิ์ เลายี่ปา. ถ้ำน้ำลอด. เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการหัวหน้าสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า ครั้งที่ ๑๐. เอกสารโรเนียว, ๒๕๔๔
สุรินทร์ ภู่ขจร และคณะ. รายงานสรุปการขุดค้นที่ถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ และถ้ำซาไก จังหวัดตรัง และการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดี ชนกลุ่มน้อยเผาซาไก จังหวัดตรัง เล่มที่ ๒. กรุงเทพฯ : คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๗
|