banner Histdept

Vmenu

บทความภาษาไทย
 ศิลปวัฒนธรรม, วันที่ 01 มีนาคม พุทธศักราช 2546 (ปีที่ 24 ฉบับที่ 5), หน้า 78  

 เรื่องจากปก  
เขมร "เขม่น" ไทย ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา

ศานติ ภักดีคำ ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

จากเหตุการณ์กรณีปฏิกิริยาความรุนแรงของประชาชนกัมพูชาที่แสดงออกต่อไทยเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เกิดเป็นประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสาเหตุหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพาดพิงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดทั้งทางด้านการเมือง ภาษาและวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

ประเด็นหนึ่งที่น่าหยิบยกมานำเสนอในที่นี้คือประเด็นอันเกี่ยวพันกับสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ซึ่งไทยและกัมพูชาอาจมีโลกทัศน์ในเรื่องนี้แตกต่างกัน และเรามักไม่ทราบกันมากนักว่ากัมพูชามีทัศนคติต่อประเทศไทยเช่นไรและเป็นไปในทิศทางใด

บทความเรื่องนี้จึงเป็นความพยายามที่จะประมวลภาพรวมของทัศนคติที่ชาวกัมพูชามีต่อประเทศไทยโดยอาศัยข้อมูลจากตำราเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเป็นหลัก เพราะตำราเรียนประวัติศาสตร์จัดได้ว่าเป็นแหล่งที่มาและมีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิด ของประชาชนกัมพูชามากที่สุด

อย่างไรก็ตามบทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงให้เรารู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดและมุมมองส่วนหนึ่งของชาวเขมรที่มีต่อประเทศไทยเท่านั้น หาได้มีจุดประสงค์ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศไม่ เพราะการที่สังคมไทยจะทำความเข้าใจและรู้ว่ากัมพูชารู้สึกอย่างไรต่อประเทศไทย ย่อมน่าจะทำให้เราได้หันกลับมามองตัวเอง และจะได้ปฏิบัติตนในจุดที่เหมาะสมต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาต่อไป

๑. ความเป็นชาตินิยมใน

แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา

ความเป็นชาตินิยมที่แสดงออกในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชา มีให้เห็นอย่างเด่นชัดทั้งในส่วนที่เป็นคำนำของหนังสือ หรือในจุดประสงค์ของการเขียนแบบเรียน อันแสดงให้เห็นว่าความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ที่กัมพูชาใช้กันอยู่ตั้งแต่เมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังคงเน้นที่ความเป็นชาตินิยม มากกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นกลางในการศึกษาประวัติศาสตร์

ดังจะเห็นได้ว่าคำนำส่วนใหญ่ของแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเน้นเรื่องความเป็นชาตินิยมอย่างมากจนสามารถเห็นได้ชัด เช่น ในคำนำหนังสือ "ประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา" ของชา อวม ไผ เผง และโสม อิม ซึ่งเป็นหนังสือแบบเรียนสำหรับชั้นประถมศึกษา มีความตอนหนึ่งว่า

"...การศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไม่ใช่มีประโยชน์แต่สำหรับการสอบเท่านั้น การศึกษาจะทำให้นางรู้ถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในอดีตกาล รู้จักมหาบุรุษของชาติ ทราบชัดถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติ...หรือนำให้นางพบกับความทุกข์ระทมใจที่เกิดขึ้นจากการขบถและต่างชาติ...นำให้นางตั้งความคิดให้มั่นคงเต็มที่ เพื่อยกย่องและนำให้นางคิดดีงามประเภทหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ความรักชาติ"..."

หรือแม้แต่ในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาสำหรับชั้นมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ก็ยังให้ความสำคัญกับความรักชาติ เช่น ข้อความ "บุพกถา" ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์เขมร ภาค ๑" ความว่า

"...อีกอย่างหนึ่ง ประวัติศาสตร์ก็เป็นนโยบายสำหรับอบรมให้ประชาชนพลรัฐมีใจรักแผ่นดิน ภูมิเมืองซึ่งตนกำลังอาศัยอยู่และอีกหลายๆ อย่างมีวัฒนธรรมเป็นต้น ซึ่งบรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้เป็นมรดกสืบมาถึงเราในชั้นนี้

ถ้าเมื่อใดเข้าใจคุณค่าและรักอะไรซึ่งเป็นของชาติแล้ว เขาก็จะพยายามป้องกันของนั้นโดยฝ่าฟันอุปสรรคทุกแบบอย่าง เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ละเมิดก้าวก่ายและเพื่อพยายามก่อสร้างชาติให้ได้เจริญรุ่งเรืองกลับคืนขึ้น

เพื่อทำให้สำเร็จซึ่งความประสงค์ข้างบนนี้แล้ว เราจึงได้พิมพ์หนังสือ "ประวัติศาสตร์เขมร" ภาค ๑ นี้ โดยเชื่อว่ากิจการนี้จะได้เป็นการร่วมส่วนแบ่งอย่างหนึ่งในการรับใช้ชาติด้วย..."

ดังนั้นเมื่อมีการนำแบบเรียนที่เขียนขึ้นในแนวคิดทางชาตินิยมมาใช้ในการเรียนการสอน ประชาชนชาวกัมพูชาจึงถูกปลูกฝังแนวความคิดทางประวัติศาสตร์ชาตินิยมและนำไปสู่การมองและเข้าใจประวัติศาสตร์ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

๒. "ไทย" ในแบบเรียน

ประวัติศาสตร์กัมพูชา

ประเด็นที่เราควรพิจารณาคือ กัมพูชามองประเทศไทยและคนไทยอย่างไร แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาโดยมากเป็นแบบเรียนที่เขียนกันมากว่า ๓๐ ปี แม้กระนั้นก็ยังใช้เป็นแบบเรียนอยู่ในปัจจุบัน ซ้ำยังมีจำหน่ายแพร่หลายอยู่ในท้องตลาด และโดยมากก็เป็นการคัดหรือเรียบเรียงขึ้นจากเล่มที่เคยเขียนมาแล้ว แต่ไม่มีการแก้ไขเนื้อหามากนัก

แบบเรียนประวัติศาสตร์ที่ใช้สอนในชั้นประถมศึกษาฉบับหนึ่ง ที่จัดได้ว่าเป็นต้นแบบของการเรียบเรียงแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาสำหรับชั้นประถมศึกษาในปัจจุบัน ยังกล่าวถึงกำเนิดของชาติไทยในแนวทฤษฎีที่เชื่อว่า ชาวไทยเป็นผู้ที่อพยพลงมาจากน่านเจ้า จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายลงมาอยู่ในดินแดนประเทศเขมรภาคเหนือแล้วจึงตั้งราชธานีอยู่ที่สุโขทัย ดังความที่ปรากฏในแบบเรียนประวัติศาสตร์ชื่อ "ประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา" เรียบเรียงโดย เจีย อวม (ชา อวม) ไผ เผง และโสม อิม มีความตอนหนึ่งว่า

"...เสียม (สยาม) หรือไทย เดิมอยู่ที่ยูนนาน (ในประเทศจีน) คริสต์ศตวรรษที่ ๘ คนพวกนี้ได้ก่อตั้งพระราชอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อว่าน่านเจ้า ต่อมาสยามได้มาอยู่บนดินแดนเขมรภาคเหนือแล้วตั้งราชธานีอยู่ที่สุโขทัย..."

หนังสือแบบเรียน "ประวัติศาสตร์เขมร ภาค ๑" ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) สำหรับชั้นมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ซึ่งพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ แต่ยังคงพิมพ์จำหน่ายแพร่หลายอยู่ในปัจจุบันกล่าวถึงไทยว่า ไทยรุกรานบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุที่ผู้นำไทยสองคนวิวาทกับเจ้าเมืองเขตเขมร หลังจากเมืองสวรรคโลกถูกตีได้ เจ้าเมืองเขตเขมรต้องหลบหนีออกจากสุโขทัย ประมาณ ค.ศ. ๑๒๒๐ ผู้นำไทยคนหนึ่งได้ขึ้นเสวยราชย์โดยมีนามว่า อินทรบดินทราทิตย์

หนังสือ "ประวัติศาสตร์สังเขป เกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์เขมร-เสียม (สยาม)" ของแบน นุต ซึ่งเป็นพฤทธิสมาชิกกรม อุดมปรึกษาในพระราชา ซึ่งพิมพ์ขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ กล่าวถึงการเข้ามาของชนชาติไทยในทำนองเดียวกัน แต่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า เมื่อไทยอพยพลงมาจากยูนนานแล้วได้เข้ารุกรานและขับไล่เขมรจากดินแดนสุโขทัยซึ่งเป็นดินแดนของเขมร ดังความที่แปลมา

"...ชนชาตินี้ (ไทย) ได้ประมวลรวมกันเป็นกลุ่มๆ ในอำนาจเสด็จตราญ่ (เจ้าผู้ครองแคว้นของกัมพูชาสมัยเมืองพระนคร) แต่ละพระองค์ แล้วตั้งลำเนาในตำบลทิศอุดร ไกลจากประเทศเขมร ในบริเวณใกล้ยูนนานกับพม่า และในยูนนานนี้เองด้วย

ในศตวรรษที่ ๑๒ จึงรวมกันเข้าเป็นครั้งแรกด้วยรูปภาพของชนชาติไทยบนรูปจำหลักหินในปราสาทนครวัด พร้อมทั้งมีข้อความบางตอนให้ชื่อว่า "สยาม" และชี้ชัดว่าเป็นพวกคนป่า

ส่วนความจริงนั้น คือตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๑๒ เป็นต้นมา พวกไทยนี้ได้เคลื่อนย้ายจากยูนนานเขยิบเข้ามาทางทิศใต้ แต่ว่าในชั้นนั้นพวกนี้ลอบลักเข้ามาทีละน้อยๆ ในกำหนดเวลานานโดยลงมาตามลำน้ำและแม่น้ำ การที่ลอบลักเข้ามาแบบนี้แล้วซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการรุกรานบุกย่ำอย่างหนักซึ่งจะมีต่อมาอีก

การรุกรานแบบนี้เกิดขึ้นอย่างหนักในต้นศตวรรษที่ ๑๓ โดยมีการรุกรานของพวกมองโกลถึงประเทศจีน และนโยบายรวบรวมประมวลแผ่นดินของพระเจ้ากุบไลข่าน ในระหว่างคริสต์ศักราช ๑๒๒๐ จึงมีการรวมเอาแผ่นดินจริงๆ...

...ในเวลาเดียวกันนั้นพวกไทยซึ่งปลีกออกจากประเทศเดิม และมาตั้งที่ลำเนาที่สุโขทัยนั้นก็เกิดขึ้น มีกษัตริย์ไทยสองพระองค์ได้ตีหลอกแย่งเอาเขตสวรรคโลก โดยได้ขับไล่เจ้าเมืองเขตเขมรออก แล้วตั้งเป็นราชาณาจักรขึ้น..."

จะเห็นได้ว่าแม้ในปัจจุบันเอกสารแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาก็ยังคงเสนอภาพว่าไทยเป็นผู้รุกรานดินแดนกัมพูชา

ในปัจจุบันทฤษฎีที่ว่าไทยอพยพลงมาจาก "น่านเจ้า" เป็นทฤษฎีที่ไม่เป็นที่ยอมรับกันแล้วในบรรดานักวิชาการไทย แต่เขมรยังคงปลูกฝังความคิดที่เป็นชาตินิยมเช่นนี้อยู่

๓. เหตุการณ์ประวัติศาสตร์

ที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกต่อกัมพูชา

นอกจากแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาจะกล่าวถึงที่มาของ "คนไทย" ตามแนวความคิดดังกล่าวแล้ว หนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชายังเน้นเนื้อหาไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาโดยเฉพาะในด้านการสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นหลัก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ แบบเรียน "ประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา" ที่มักกล่าวถึงสงครามกับไทย และมักลงท้ายด้วยข้อความที่ว่าไทยแย่งชิงดินแดนเขมร เช่น

"...ล่วงมาถึงศตวรรษที่ ๑๕ เขตตราด ปัจฉิม ประจิม (ปราจีนบุรี- ผู้แปล) และจันทบูร ซึ่งตั้งอยู่เป็นภูมิภาคพระราชาณาจักรเขมรด้วย เพียงแต่กองทัพไทยมักจะเข้ารุกรานประเทศเขมรเป็นประจำ แล้วได้หลอกตีเอาเมืองพระนครไปได้ถึงสองครั้ง เวลานั้นพระบาทพญายาตทรงละทิ้งพระราชธานีพระนครซึ่งศัตรูได้รุกรานได้โดยง่ายนั้นแล้วก็ทรงได้มาตั้งพระราชธานียังกรุงพนมเปญ..."

และเมื่อไทยตีเขมรได้ก็จะกวาดต้อนผู้คนชาวเขมรกลับไปยังประเทศไทย เช่น "สยามเอาเมืองพระนครได้ สยามประมวลเอาวัตถุมีค่า และจับชาวเขมรไปเป็นเชลยจำนวนมาก"

บางครั้งก็จะกล่าวถึงในลักษณะว่าไทยได้เข้าไปปล้นประเทศกัมพูชา เช่น "สยามจึงปล้นเมืองพระนครได้อีก"

หรือกล่าวถึงว่าไทยจับตัวกษัตริย์กัมพูชาไปคุมขังไว้ที่ไทย เช่น "ทัพสยามได้รุกเข้ามาจนจับพระบาทศรีราชาได้ในปี ค.ศ. ๑๔๗๔ พระองค์จึงสวรรคตในประเทศสยาม ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนาม เจ้าพญาอุง (พระองค์โอง) ซึ่งสยามขังไว้ที่ประเทศสยาม"

แน่นอนว่าข้อความที่เป็นภาพลบของประเทศไทยที่เขียนไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของเขมร ย่อมนำมาสู่ความรู้สึกต่อประเทศไทยในแง่มุมทางลบด้วยอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้

นอกจากในแบบเรียนประวัติศาสตร์โดยตรงแล้ว แม้แต่แบบเรียนวรรณคดีเขมร ก็มีการกล่าวถึงผลกระทบและความเสียหายของกัมพูชาที่เกิดจากการรุกรานของไทย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ แบบเรียนประวัติวรรณคดีเขมรสมัยนครพนมจนถึงสมัยอุดงค์ ของเลียง หับอาน (ลาง หาบ่อาน) ที่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับไทยไว้ว่า

"...ประวัติศาสตร์ในช่วง ๒๕๗ ปีนี้ ประเทศกัมพูชาได้รับเคราะห์ร้ายอย่างมากจากไทยซึ่งยกทัพมารุกรานหลายครั้งหลายคราวมาก ตัวอย่างเช่น

๑. ในรัชกาลพระบาทศรีลำพงราชา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ กษัตริย์ไทยได้ยกทัพมาตีเมืองพระนคร ปรารถนาจะเอาเมืองเขมรให้ได้ สงครามครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก

๒. ในรัชกาลพระอุปราชศรีสุริโยทัย ไทยยกทัพมาตีเมืองพระนครได้ในปี ค.ศ. ๑๓๕๓ ไทยทำลายประตูเมืองพระนครจากทิศตะวันออกแล้วบุกเข้าปล้นราชสมบัติ จับเขมรเป็นเชลยจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นคน นำไปประเทศไทย...

...๑๒. ในเวลาที่พระบาทสัตถาที่ ๑ ครองราชย์ได้ประมาณ ๔-๕ เดือน พม่าในหงสาวดียกทัพมาตีประเทศไทย ไทยขอกำลังเขมรไปช่วย โดยทรงเห็นถึงพระราชไมตรีใหม่ๆ นั้น พระบาทสัตถาทรงเห็นพร้อมด้วย แล้วก็โปรดให้พระอนุชาพระศรีสุริโยพรรณเป็นแม่ทัพไปช่วยไทย เมื่อช่วยชนะแล้วกษัตริย์ไทยไม่มีความกตัญญูเลย เปลี่ยนท่าทีเป็นดูถูกพระมหาอุปราชเขมรเหมือนเป็นกษัตริย์ที่อ่อนน้อม..."

แม้แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาจะมีการกล่าวอ้างถึงเอกสารไทยบ้างในบางครั้งแต่ก็มักเป็นการกล่าวอ้างที่ผิดข้อเท็จจริง เช่น เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งพระนเรศวรตีเมืองละแวกในหนังสือ "ประวัติศาสตร์เขมร" ภาค ๒ ของ ตรึง เงีย (ตฺรึง งา) มีข้อความตอนหนึ่งว่า

"...ทุกวันนี้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีรูปภาพ ๒ แผ่นใหญ่ควรให้สะเทือนใจ รูปที่ ๑ เป็นรูปกษัตริย์เขมรประทับอยู่บนเก้าอี้หนึ่งตัว มีเชือกผูกพระบาทและพระหัตถ์เอาไว้ รูปที่ ๒ แสดงถึงบุรุษคนหนึ่งนุ่งห่มขาวกำลังคุกเข่าเอาโลหิตกษัตริย์เขมรไปล้างพระบาทให้กษัตริย์สยาม

แต่เรื่องนี้ผิดหรือเป็นเรื่องที่บัณฑิตแต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเกียรติพระเจ้ากรุงสยามสมัยนั้น เนื่องจากพระราชพงศาวดารเขมรทุกฉบับไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้เลย! ..."

จะเห็นได้ว่าภาพที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ใช่ภาพที่วัดใหญ่ชัยมงคลแต่ประการใด นอกจากนี้ภาพพระนเรศวรปฐมกรรมพระยาละแวกยังมีเพียงภาพเดียว ไม่ใช่ ๒ ภาพตามข้อมูลในหนังสือเล่มนี้

๔. สงครามพระนเรศวร

ตีเมืองละแวก

สงครามครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตีเมืองละแวกในปี พ.ศ. ๒๑๓๖ มีผลกระทบต่อความรู้สึกของชาวกัมพูชามาก

เพราะแม้ชาวกัมพูชาจะรู้สึกร่วมต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ไทยยกทัพไปทำสงครามกับกัมพูชาหลายครั้ง และสงครามครั้งร้ายแรงที่สุดคือครั้งที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ยกทัพไปตีกรุงศรียโสธรปุระในปี พ.ศ. ๑๙๗๖ ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้กัมพูชาตัดสินใจย้ายเมืองหลวงลงไปทางใต้

แต่สงครามที่รุนแรงและมีผลต่อความรู้สึกของชาวกัมพูชามากที่สุดคือสงครามคราวเสียเมืองละแวก (ลงแวก) เพราะในหลักฐานกัมพูชาปรากฏทั้งศิลาจารึก พงศาวดาร รวมทั้งแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา ได้เสนอภาพความเสียหายของกัมพูชาในครั้งนั้นว่า

"...ผลวิบากของการเสียกรุงลงแวก

การตีกรุงลงแวกแตกโดยชนชาติเสียม (สยาม) มีผลวิบากเลวร้ายอย่างรุนแรงสำหรับประชาชาติเขมร ต่อจากนี้ไปประเทศเขมรต้องพบกับความวิบัติอันมีมากขึ้น...ในสมัยลงแวก โดยเฉพาะในรัชกาลของพระบาทจันทราชา และบรมราชาที่ ๔ เขมรสร้างความเข้มแข็งของตนคืนได้ แล้วได้ยกทัพไปตีรุกราชธานีศรีอยุธยาและตีปลดปล่อยเอาอาณาเขตข้างตะวันตกคืนมาได้เป็นจำนวนมาก เพียงแต่หลังจากบันทายลงแวกต้องแตกหักไป แผ่นดินส่วนใหญ่ของพนมดงรักและที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกต้องสูญเสียไปอย่างถาวร

การแตกหักบันทายลงแวกเป็นเหตุยังประเทศเขมรให้สิ้นฤทธานุภาพ ตกเป็นรัฐเล็กอยู่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ นี่เป็นครั้งที่ ๓ แล้วซึ่งเขมรต้องสูญเสียตำรับตำราไปหมด นักปราชญ์บัณฑิตกวีซึ่งถูกศัตรูกวาดต้อนเอาไปประเทศมัน..."

นอกจากความเสียหายที่ได้รับในสงครามคราวเสียเมืองละแวกแล้ว กัมพูชายังไม่พอใจที่เอกสารไทยบันทึกว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำพิธีปฐมกรรมนักพระสัตถา เพราะตามหลักฐานของกัมพูชาระบุว่านักพระสัตถาหนีไปได้และสวรรคตในประเทศลาว ดังความที่ว่า

"...เฉพาะการสงครามระหว่างสยาม-เขมรในปี ค.ศ. ๑๕๙๓ นี้ เอกสารสยามได้กล่าวว่า ทั้งนี้เนื่องมาจากเขมรไม่รักษาคำสัตย์ สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงยกทัพมาทำสงคราม สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นกัมพูชาอ่อนกำลัง จึงมีพระดำรัสให้พระสัตถามาเฝ้า แต่พระสัตถากลับจับทูตไทยซึ่งอัญเชิญพระบรมราชโองการคุมไว้แล้วก็เตรียมการจัดทัพต่อสู้อย่างหนัก

อีกประการหนึ่ง ราชพงศาวดารสยามได้อ้างว่าทัพสยามได้จับได้พระมหากษัตริย์เขมรแล้วพระเจ้ากรุงสยามทรงบัญชาให้ประหารชีวิตพระองค์เพื่อเอาพระโลหิตไปล้างพระบาทอีกด้วย

ทุกวันนี้ที่วัดใหญ่ชัยมงคลที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีรูปภาพ ๒ แผ่นใหญ่ควรให้สะเทือนใจ รูปที่ ๑ เป็นรูปกษัตริย์เขมรประทับอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มีเชือกผูกพระบาทและพระหัตถ์เอาไว้ รูปที่ ๒ แสดงถึงบุรุษคนหนึ่งนุ่งห่มขาวกำลังคุกเข่าเอาโลหิตกษัตริย์เขมรไปล้างพระบาทให้กษัตริย์สยาม

แต่เรื่องนี้ผิดหรือเป็นเรื่องที่บัณฑิตแต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเกียรติพระเจ้ากรุงสยามสมัยนั้น เนื่องจากพระราชพงศาวดารเขมรทุกฉบับไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้เลย!..."

ความรู้สึกต่อสงครามคราวเสียเมืองละแวกของประชาชนชาวกัมพูชายังแสดงออกในรูปของตำนาน ซึ่งก็คือตำนานพระโค-พระแก้วอีกด้วย

๕. ตำนานพระโค-พระแก้ว

คืออะไร?

ตำนานพระโค-พระแก้วเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับการเสียเมืองละแวก ซึ่งมีเรื่องย่อดังนี้ ในสมัยเมืองละแวกมีชาวนาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ต่อมาภรรยาได้ตั้งครรภ์และปีนต้นมะม่วงตกลงมาเสียชีวิต ลูกที่คลอดออกมาคือพระโคผู้พี่ซึ่งเป็นวัว และพระแก้วผู้น้องเป็นคน

พระโคเลี้ยงดูพระแก้วด้วยการเคี้ยวหญ้าแล้วเสกออกมาเป็นอาหารและสิ่งของต่างๆ ให้พระแก้ว เมื่อชาวบ้านทราบก็โลภต้องการจับพระโคฆ่าเสียเพื่อจะได้เอาทรัพย์สินที่อยู่ในท้องพระโค พระโคและพระแก้วจึงหนีไป ต่อมาพระแก้วได้เป็นพระราชบุตรเขยของพระบาทรามาเชิงไพรกษัตริย์ผู้ครองเมืองละแวก

กิตติศัพท์เรื่องพระโค-พระแก้วล่วงรู้ไปถึงกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงปรารถนาได้พระโค-พระแก้วมาไว้ในพระนคร พระองค์จึงส่งทูตมาเพื่อท้าประลองชิงบ้านเมือง (เพื่อให้ได้พระโค-พระแก้ว)

การประลองมีสามครั้งโดยพระโคเป็นตัวแทนของเมืองละแวกไปร่วมประลอง การประลองครั้งแรกเป็นการแข่งชนไก่ ครั้งที่ ๒ เป็นการชนช้าง ซึ่งพระโคสามารถเอาชนะได้ทั้งสิ้น การประลองครั้งที่ ๓ เป็นการชนวัว พระโครู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะโคยนต์ของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงวางอุบายว่าหากตนหมอบสามครั้งให้พระแก้วกับนางเภา (ภรรยาพระแก้ว) จับหางของตนไว้เพื่อจะได้เหาะหนีให้ทันท่วงที

ในที่สุดพระโคก็เหาะหนี แต่ทหารไทยยกทัพติดตามและนางเภาได้ตกลงมาเสียชีวิต ส่วนพระโคและพระแก้วถูกจับได้ ทำให้เสียเมืองละแวกแก่ไทย พระโคและพระแก้วถูกจับตัวไปยังกรุงศรีอยุธยา อันเป็นเหตุให้สรรพวิทยาทั้งปวงที่อยู่ในท้องพระโคถูกนำมาไว้ยังเมืองไทย และเขมรก็เสื่อมลงจนถึงปัจจุบัน

ตำนานเรื่องพระโค-พระแก้ว แม้จะเป็นตำนานที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนชาวเขมร แต่ก็มิได้ปรากฏว่ามีการนำมาแต่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรอง หากอยู่ในรูปของมุขปาฐะจนถึงปี ค.ศ. ๑๙๕๒ สำนักพิมพ์คีม คี จึงนำมาพิมพ์เผยแพร่

ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ สำนักพิมพ์ "ไรยํ" ได้นำตำนานเรื่องนี้มาเขียนภาพประกอบแล้วพิมพ์เผยแพร่ เป็นหนังสือภาพประกอบตำนานเรื่อง "พระโค-พระแก้ว" ซึ่งในตอนท้ายเรื่องได้กล่าวถึงความสำคัญของ "พระโค" ไว้ว่า

"...พวกสยามเห็นว่าเมื่อใดได้พระโคอยู่ ณ ที่ใด ที่นั้นจะได้สุขเกษมศานต์ ดังนี้แล้วพวกสยามจึงได้พยายามดูแลรักษาพระโค-พระแก้วไว้อย่างแข็งแรง แล้วนับแต่เวลานั้นมา พระโค-พระแก้วจึงมิได้กลับคืนมายังเมืองเขมรจนถึงทุกวันนี้..."

นอกจากนี้ในแบบเรียน "ประวัติศาสตร์เขมร" ภาค ๒ ของ ตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ยังได้แสดงออกถึงความรู้สึกเสียดายพระโค-พระแก้วไว้ด้วย ดังความว่า

"...ในปี ค.ศ. ๑๕๙๓ สยามจับได้พระอุปโยราชศรีสุริโยพรรณกับพระราชบุตรทั้งสองคือ พระชัยเจษฎา (พระชนม์ได้ ๑๕ พรรษา) และพระอุทัย (พระชนม์ได้ ๕ พรรษา) พร้อมทั้งกระบวนขนาดนักปราชญ์ราชบัณฑิตกวี รูปประติมากรรมพระโค-พระแก้ว และเชลยเขมรเป็นจำนวนมากไปประเทศสยาม

หลังจากสมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่ในประเทศเขมรได้ ๓ เดือน ก็เสด็จกลับคืนไปกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งให้ขุนนางผู้ใหญ่สยามตั้งกำกับอยู่ที่กรุงอุดงค์

ควรอธิบายให้ทราบว่าที่ด้านหน้าพระวิหารพระแก้วในกรุงเทพมหานครประเทศไทย ปัจจุบันนี้มีรูปประติมากรรมพระโคซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับวัวใหญ่ในท้องเป็นช่องว่าง ถ้าเช่นนั้นนี่คือรูปพระโคพระแก้วซึ่งสยามนำเอาไปได้ในคราวที่ตีเมืองละแวกแตกหรือไรกัน?..."

๖. บทบาทไทยในสมัย

ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีต่อกัมพูชา

นอกจากแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาจะแสดงภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในแง่มุมประวัติศาสตร์สงครามสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็แสดงออกด้วยสำนวนภาษาและทัศนคติที่คล้ายคลึงกันก็คือภาพ "ไทย" พยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชา และพยายามยึดครองดินแดนของกัมพูชาอีกด้วย ในแบบเรียนประวัติศาสตร์เหล่านี้จึงมักปรากฏคำว่า "อิทธิพลอย่างแข็งกล้าของเสียม (สยาม)", "ใต้อำนาจสยาม", "สยามเอาดินแดนเขมร", "สยามตีเขมร" หรือ "สยามยึดครองดินแดนเขมร" เป็นต้น

อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์กัมพูชาในช่วงนี้ก็แสดงภาพความไม่พอใจของชาวกัมพูชาที่มีต่อประเทศเวียดนามที่รุกรานและแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชาเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ที่พระองค์เอง (สมเด็จพระนารายณ์รามา) เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปรากฏในแบบเรียนประวัติศาสตร์สำหรับชั้นประถมศึกษาของกัมพูชาว่า

"...สยามเอาดินแดนพระตะบองและเสียมราบ (เสียมเรียบ) สยามขังพระองค์เองจนถึงปี ค.ศ. ๑๗๙๔ จึงพระราชทานให้พระองค์เสด็จมาปกครองกัมพูชา ส่วนยมราชแบนสยามตั้งเป็นผู้ว่าการเขตของเขตพระตะบองและเสียมราบ (เสียมเรียบ) ซึ่งสยามเอาเป็นของมัน..."

แบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรสำหรับชั้นมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) กล่าวถึงการที่ไทยได้เมืองพระตะบอง เสียมราบ (เสียมเรียบ) ว่า

"...ส่วนเจ้าเมืองเขตพระนคร (เสียมราบ) ต้องตั้งอยู่ใต้อำนาจของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ดังนี้ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๗๙๕ มา เขตพระตะบองและเขตพระนครถูกสยามได้ไปโดยสันติวิธี

เฉพาะการสูญเสียดินแดนนี้นักประวัติศาสตร์บางคนได้โจทย์ถามว่ามีความยินยอมพร้อมเพรียงสงบอะไรอย่างหนึ่งระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้งสองด้วยหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นรางวัลเฉพาะกษัตริย์สยามซึ่งได้รับรู้กษัตริย์เขมร แล้วยกให้ขึ้นเสวยราชย์หรือย่างไร...เขตนี้จึงตกอยู่ใต้อำนาจไทยมาจนถึงรัชกาลที่ ๕...

...ราชพงศาวดารเขมรฉบับหนึ่งได้สนับสนุนเอกสารมีนัยคล้ายคลึงกับเอกสารสยามด้วย...แต่ยอมถวายสำหรับแต่แผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าพระองค์เดียว"

แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาบางฉบับก็กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะขุนนางเขมรเป็นขบถมาเข้ากับฝ่ายไทย เช่น

"ในรัชกาลของพระองค์เอง (๑๗๙๔-๑๗๙๖) แบน (ออกญายมราช แบน-ผู้แปล) ได้กำกับเขตพระตะบอง และมหานคร (คือเขตเสียมราบ) มนตรีแบนกบฏได้กราบทูลเสด็จสยามนามจุฬาโลก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช-ผู้แปล) ว่า ข้าพระกรุณาปรารถนาอยากให้เขตพระตะบอง และเสียมราบติดไปกับแผ่นดินสยาม ถ้าพระองค์ไม่ขัดพระราชหฤทัยขอทรงส่งพระราชสาสน์พร้อมทั้งลายพระหัตถ์ด้วย ถวายเสด็จองค์เอง เพราะโดยอานุภาพของพระองค์ เสด็จกรุงกัมพูชาจะเกรงกลัว และพร้อมทั้งถวายเขตทั้งสองนี้มาแก่สยามอย่างแน่นอน เขตทั้งสองนี้ตกอยู่ในกำมือสยามในปี ๑๗๙๕

ในปีเดียวกันนั้นเองพระองค์เองได้เสด็จไปเมืองสยาม...พระองค์เองก็มีบันทูลว่า ขอให้พระเจ้าสยามเอาเขตทั้งสองนี้แต่ในเวลาที่พระองค์ "เสด็จสยาม" ยังมีพระชนม์อยู่ เมื่อสวรรคตไปต้องคืนให้เขมร เพียงแต่ล่วงมาหนึ่งปีเสด็จสยามไม่ทันสวรรคต พระองค์เองก็สุคตไปก่อนในปี ๑๗๙๖ ดังนั้นแล้ว พระตะบอง และมหานครก็ถูกไทยหลอกลวงเอาตลอดไป..."

บทบาทของไทยในรัชกาลสมเด็จพระอุทัยราชา (พระองค์จันท์) ปรากฏการกล่าวถึงในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา สำหรับชั้นประถมศึกษาว่า

"...สยามทำสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจ ในปี ค.ศ. ๑๘๑๐ พระเจ้ากรุงสยามสวรรคต พระองค์จันท์ทรงจัดให้พระอนุชาสองพระองค์คือ พระองค์สงวน และพระองค์อิ่ม ไปถวายบังคมพระบรมศพ และพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสวยราชย์ใหม่เวลานั้น พระเจ้าสยามได้ตั้งพระองค์สงวนเป็นพระชัยเชษฐามหาอุปโยราช และพระองค์อิ่มเป็นพระศรีชัยเชษฐามหาอุปราช โดยไม่ได้ปรึกษากับพระเจ้าแผ่นดินเขมรเลย แล้วพระเจ้าสยามบัญชาให้เกณฑ์ราษฎรเขมรเอาไปรักษากรุงบางกอก..."

หรือแม้แต่ในรัชกาลสมเด็จพระหริรักษรามา (พระองค์ด้วง) แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็กล่าวถึงเหตุการณ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ว่า

"...สยามได้ขอพระองค์ด้วงให้ลงนามสนธิสัญญาตัดเขตมลูไพร และทนเลเพา ซึ่งสยามยึดครองได้แต่ครั้งก่อน พระบาทองค์ด้วงทรงมีพระดำรัสว่า "ข้าไม่ให้อะไรสยามไปทั้งหมด เพียงแต่สยามแข็งแกร่งเชี่ยวชาญ สยามเก็บไว้ก่อนเถอะเขตใดซึ่งสยามยึดครองได้ตั้งแต่ก่อนๆ นั้น"

ในเมืองใดที่สยามยึดครองได้ สยามได้ใช้อุบายเย็น คือบั่นทอนภาษีอากรจากประชาราษฎร์ แล้วนำกำไรเล็กน้อยไปประเทศของตน..."

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าภาพของไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ในความรู้สึกของแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาค่อนข้างเสนอภาพในด้านลบ และมักเสนอแต่ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากการรุกรานและการเข้าไปยึดครองดินแดนกัมพูชาบางส่วนของไทย รวมทั้งการเกณฑ์เอาชาวเขมรของไทยเพื่อนำไปเป็นกำลังในการสร้างบ้านเมืองไทยเท่านั้น อย่างไรก็ดีในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเมื่อกล่าวถึงประเทศเวียดนามก็ปรากฏภาพเวียดนามผู้รุกรานกัมพูชาที่คล้ายคลึงกัน

๗. ความรู้สึกที่กัมพูชามีต่อไทย

ในศตวรรษที่ ๑๙-๒๐

แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเสนอภาพมุมมองและทัศนคติที่มีต่อไทยในศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาพในศตวรรษที่ ๑๘ อาจเนื่องมาจากในช่วงนั้นเป็นเวลาที่ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามายึดครองอินโดจีน

ภาพไทยที่ปรากฏในศตวรรษนี้จึงมีภาพในแง่บวกบ้าง เช่น กล่าวถึงความช่วยเหลือจากสยามในการปราบขบถพระองค์วัตถา ในปี ค.ศ. ๑๘๖๑

ตรงข้ามกับภาพฝรั่งเศสที่ถูกมองในแง่มุมที่เป็นผู้ปกครอง เช่นกล่าวว่าสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๘๘๔ เหมือนเป็นแอกทับลงบนกัมพูชา เป็นต้น อย่างไรก็ดีแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็แสดงออกถึงความยินดีเมื่อฝรั่งเศสช่วยให้กัมพูชาได้ดินแดนที่เสียไปคืนมา เช่น

"...แผ่นดินเขมรได้กลับคืนมาสู่เขมร ด้วยความช่วยเหลือของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. ๑๙๐๔ สยามคืนเขตสตึงเตรง มลูไพร และทนเลเพา และในปี ค.ศ. ๑๙๐๖ สยามคืนเขตพระตะบอง และเสียมราบ (เสียมเรียบ) อีก สยามได้เมืองสุรินทร์ บุรีรัมย์ และขุขันธ์..."

เช่นเดียวกับแบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรสำหรับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ที่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า

"...ส่วนแผ่นดินซึ่งต้องสูญเสียไปในมือสยามนั้น เขาทราบว่าในปี ๑๙๐๔ ประมาณเดือนหลังซึ่งพระบาทศรีสวัสดิ์ได้ขึ้นเสวยราชย์ ประเทศสยามได้คืนไปให้ฝรั่งเศสและฝรั่งเศสได้ส่งมอบคืนให้พระองค์ด้วยเขตตราด เกาะกง มลูไพร และทนเลเพา ในเวลาเดียวกันนั้น เขตสตึงเตรง และเมืองเสียมบาง ก็ถูกถอดถอนจากประเทศลาวและมอบคืนมาให้พระราชาเขมรด้วย

ตามสนธิสัญญาวันที่ ๒๓ เดือนมีนาคม ๑๙๐๗ รัฐบาลสยามได้มอบให้ฝรั่งเศสซึ่งเขตพระตะบอง เสียมราบ และศรีโสภณ เพียงแต่ฝรั่งเศสต้องให้คืนไปซึ่งแผ่นดินด่านซ้ายและตราด เขตทั้งสามข้างบน ฝรั่งเศสได้มอบคืนมาให้เขมร

ควรทราบว่า การกลับคืนเข้ามาในมาตุภูมิซึ่งแผ่นดินภาคอย่างสำคัญซึ่งต้องสูญเสียไปตั้งแต่สมัยพระยาอภัยภูเบศแบน (๑๗๙๕) เป็นโชคชัยประการหนึ่งในนโยบายฝรั่งเศสในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีจารึกไว้เป็นอนุสาวรีย์ตรงทิศใต้ของวัดพนมโฎนเพ็ญทุกวันนี้..."

หนังสือ "ประวัติศาสตร์สังเขป เกี่ยวกับความสัมพันธ์เขมร-สยาม" ของแบน นุต กล่าวถึงความรู้สึกเกี่ยวกับความต้องการดินแดนพระตะบอง และเสียมราบคืนจากไทยว่า

"...ในรัชกาลพระองค์ทั้งมวล พระบาทสมเด็จพระนโรดมที่ ๑ พระองค์ไม่หยุดยืนแสวงทวงเอาเขตทั้งสองนั้นคืนมาเลย เพราะเขตทั้งสองนี้ล้วนแต่มีชนชาติเขมรอยู่ ส่วนอีกเขตหนึ่งนั้นเล่า มีปราสาทพระนคร (นครวัด) ซึ่งสยามไม่มีสิทธิ์อะไรเหนือถึงแม้แต่เล็กน้อยเลย

จนเมื่อมาถึงปี ๑๙๐๔ จึงได้พระตะบองและพระนครคืนกลับมาเป็นดินแดนของเขมร..."

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานเมื่อไทยมีนโยบายความคิดแบบชาตินิยม และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๙๓๙ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยได้เข้ายึดครองดินแดนเมืองพระตะบองและบางส่วนของเมืองเสียมราบ ทำให้กัมพูชาไม่พอใจมาก

แบบเรียนประวัติศาสตร์เขมร ของตรึง เงีย (ตฺรึง งา) ได้อธิบายว่าการรุกรานครั้งนี้ของไทยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระบาทศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ทิวงคตด้วยความเจ็บพระทัย

"...ในปี ๑๙๓๙ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ปะทุขึ้น ประเทศสยามซึ่งมีวิวาทกับประเทศฝรั่งเศส และได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น และในที่สุดได้บีบสะกดเหนือประเทศฝรั่งเศสเดิมไปซึ่งเขตพระตะบอง และแผ่นดินที่ตั้งอยู่ตรงเทือกเขาพนมดงรักและแนวเส้นรุ้งที่ ๑๕

โดยเจ็บพระทัยกับความโลภจากสำนักสยามนี้ พระสุขภาพต้องทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว แล้วพระบาทศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ทรงเสวยทิวงคตในราตรีที่ ๒๒ เดือนเมษายน ๑๙๔๑ ที่โบกโก (บูกโค) ในพระชนมายุ ๖๕ พรรษา..."

แม้แต่ในคำอุทิศของวรรณกรรมเขมรที่แต่งขึ้นในสมัยนั้นคือ นวนิยายเรื่อง "ผกาสรโปน" นิพนธ์โดย นู หาจ ก็มีข้อความกล่าวถึงความรู้สึกเจ็บปวดของชาวกัมพูชาที่มีต่อการรุกรานของกองทัพไทย ดังความตอนหนึ่งว่า

"...นวนิยายนี้ได้กรองเกิดขึ้นในสมัยซึ่งประเทศกัมพูชาต้องถูกแบ่งอาณาเขตข้างตะวันตกไปอยู่ภายใต้อำนาจประเทศใกล้เคียง คือระหว่าง ๗ ปีมาแล้ว

ดังนี้แล้วความรู้สึกถึงบ้านเกิด ถึงญาติมิตรซึ่งพลัดไปแต่ละทิศทาง พรมแดนอกุศลก็มีแต่ร้อนเข้าไปในตับในดีของเขมรทุกๆ คน

ดังนี้แล้วที่ใด ตำบลใดซึ่งเป็นที่รักของผู้แต่ง จึงถูกกำลังของความระลึก ผลักดันมาเป็นฉากในเรื่องนี้..."

นอกจากกัมพูชาจะกล่าวถึงความพยายามของไทยที่เข้าไปยึดครองดินแดนบางส่วนของกัมพูชาในยุคนี้แล้ว ในหนังสือ "สังคมวิชชาเขมร" สำหรับชั้นบรรจบกับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งเขียนโดย สร สารุน ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยอักษรศาสตร์ พนมเปญ ยังได้กล่าวถึง "นโยบายรวบรวมชาติของสยาม" ไว้ด้วย โดยกล่าวว่า

"...รัฐบาลสยามได้ประกาศอย่างเป็นทางการในปี ๑๙๓๙ โดยกำหนดชื่อว่า "นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายแผ่นดินของไทย" คู่กันกับการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนของไทยได้จัดขึ้นอย่างหมดจดที่สุด โดยหลวงวิจิตรวาทการ ในเวลาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสยาม (ที่ถูกคือจอมพล ป. พิบูลสงคราม-ผู้แปล)

นโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนนี้มีกำลัง สามารถให้ประเทศสยามกลืนเอาแผ่นดินเขมรได้โดยง่าย โดยมุ่งหวังเอาแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนร่วมกับญวน (มีเขียนไว้อย่างชัดเจนในหนังสือนโยบายชาตินิยมแผ่ขยายดินแดนของไทย นิพนธ์โดยหลวงวิจิตรวาทการ) และนโยบายนี้จะประพฤติไปตามวิธีประมวลชนชาติของไทยโดยจัดไว้ว่า เขมรมีประเพณี ขนบธรรมเนียม ความเชื่อ ศาสนา เหมือนประเทศไทยซึ่งก็คือเป็นชนชาติไทยดุจกัน เหตุนี้แผ่นดินเขมรทั้งหมดต้องรวมเป็นดินแดนของชาติไทย..."

อย่างไรก็ดีเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยจึงต้องคืนดินแดนเหล่านี้ให้กับกัมพูชาในเวลาต่อมา เหตุการณ์นี้ถูกเขียนลงในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาเพียงว่า

"สยามคืนแผ่นดินให้เขมร ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๔๑ ด้วยอำนาจทัพญี่ปุ่นเป็นคนชั่วร้าย สยามได้ริบดินแดนจากเขมร ได้แก่ เขตพระตะบอง ส่วนหนึ่งของเสียมราบ ส่วนหนึ่งของเขตกำปงธม ส่วนหนึ่งของเขตสตึงแตรง ในวันที่ ๙ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๖ คือหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลสยามคืนอาณาเขตทั้งหมดมาให้กัมพูชา..."

หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วหนังสือประวัติศาสตร์กัมพูชาไม่ได้กล่าวถึงไทยอีกจนถึงปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ซึ่งเกิดเหตุการณ์กรณีเรียกร้องเขาพระวิหารคืนจากไทย แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เพียงสั้นๆ กล่าวคือ

"...ปราสาทพระวิหารได้กลับคืนมาเป็นของเขมร ปราสาทพระวิหารเป็นปราสาทเขมรหลังหนึ่ง ซึ่งได้สร้างขึ้นบนเทือกเขาพนมดงรัก ในเขตพระวิหาร ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๓ สยามได้นำทัพมากำกับเอาปราสาทของเรานี้ด้วยการข่มขี่ เขมรเราได้ร้องเรียนถึงศาลโลกที่กรุงเฮก ในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ตุลาการนั้นได้ตัดสินความให้เขมรชนะ แล้วต้องให้สยามมอบปราสาทพระวิหารคืนมาให้เขมร..."

เหตุการณ์นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งปรากฏเป็นเรื่องสุดท้ายในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา

บทสรุป

หลังจากกรณีเขาพระวิหารไม่นาน ประเทศกัมพูชาได้เข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองที่ดำเนินต่อมาอีกหลายสิบปี และแม้เมื่อมีการฟื้นฟูประเทศแล้ว แต่แบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาก็ยังคงใช้ตำราที่เขียนขึ้นในช่วงก่อนเกิดสงครามกลางเมืองเป็นแนวทางในการเรียนการสอนอยู่จนถึงปัจจุบัน

รวมทั้งการที่ปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชามีแนวทางการเมืองที่เน้นเรื่องชาตินิยม จึงทำให้แนวทางในการศึกษาประวัติศาสตร์ในประเทศกัมพูชายังคงเป็นไปในทิศทางนี้ ซึ่งแน่นอนว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกัมพูชาย่อมส่งผลต่อผู้เรียนคือชาวกัมพูชา อันก่อให้เกิดแนวคิดและทัศนคติในลักษณะที่เป็นชาตินิยมตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมุมมองของกัมพูชาที่มีต่อไทยในแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชา อาจช่วยให้เราเข้าใจความคิดและทัศนคติของชาวกัมพูชาที่มีต่อไทยบ้างไม่มากก็น้อย

อย่างไรก็ตามนอกจากจะทราบความคิดที่ชาวกัมพูชามีต่อประเทศไทยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรศึกษาต่อไปคือมิติทางวัฒนธรรมของกัมพูชาเพื่อช่วยให้เราเข้าใจกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านของเราได้อย่างถูกต้องชัดเจน รวมทั้งน่าจะมีการนำแบบเรียนประวัติศาสตร์กัมพูชาฉบับต่างๆ มาศึกษาวิเคราะห์กับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยเพื่อขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับประเทศกัมพูชาในโอกาสต่อไปอีกด้วย

บรรณานุกรม

จันทร์ฉาย ภัคอธิคม บุญเตือน ศรีวรพจน์ และศานติ ภักดีคำ. พระนเรศวรตีเมืองละแวก แต่ไม่ได้ "ฆ่า" พระยาละแวก. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๔.

ตฺรึง งา. ปฺรวตฺติสาสฺตฺราแขฺมร ภาค ๑ (สํราบ่มธฺยม นิง อุตฺตมสิกสา). ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพ มหาลาต, ๑๙๗๓.

_____. ปฺรวตฺติสาสฺตฺราแขฺมร ภาค ๒ (สํราบ่มธฺยม นิง อุตฺตมสิกสา). ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพ มหาลาต, ๑๙๗๓.

นู หาจ. ผกาสฺรโพน. ภฺนํเพญ : โรงพุมฺพ รสฺมี, ๒๕๐๓.

แบน นุต. ปฺรวตฺติสาสฺตฺรสงฺเขป อํพี ทํนาก่ทํนงแขฺมร-เสียม. ภฺนํเพญ : บณฺณาลัย อปฺสรา, ๒๐๐๑.

พฺระโค พฺระแกว. ภฺนํเพญ : ไรยํ, ๒๐๐๑.

เมเรียนปฺรวตฺติวิทฺยา สํราบ่เตฺรียมปฺรลงมธฺยมสิกฺสาบัตฺรกํริต II (๑๙๙๙-๒๐๐๐), หน้า ๑๕๕.

ลาง หาบ่อาน. สิกฺสาปฺรวตฺติอกฺสรสาสฺตฺรแขฺมร สมัยนครภฺนํฎล่สมัยอุฎุงฺค. ภฺนํเพญ : คิม-เอง, ๒๕๑๑.

ศานติ ภักดีคำ (ผู้แปล). ประวัติศาสตร์สังเขปของประเทศกัมพูชา แปลจาก "ปฺรวตฺติสาสฺตฺรไนปฺรเทสกมฺพุชา" ของชา อวม ไผ เผง นึงโสม อิม. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๔๒.

สร สารุน. สงฺคมวิชฺชาแขฺมร. ภฺนํเพญ, ๑๙๗๓.

[Top]

footer ©กองวิชาประวัติศาสตร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า